กรมอนามัย เข้าร่วมการประชุมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวนนอกระบบการศึกษา ครั้งที่ 2/2568
- กรมอนามัย
- 26 View
- อ่านต่อ
สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์กล่าว โรคหัด (Measles) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ โรคนี้แพร่กระจายได้ง่ายแต่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน หากได้รับวัคซีนครบถ้วน จะช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมโรคหัดในชุมชน
นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคหัด (Measles) เกิดจากเชื้อไวรัส Measles virus ซึ่งอยู่ในตระกูล Paramyxoviridae หลังจากได้รับเชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 10-14 วัน มีอาการ 2 ระยะ 1) อาการนำมักเริ่มจากไข้สูง ไอแห้ง น้ำมูกไหล ตาแดงและไวต่อแสง มีจุดขาวเล็กๆ บริเวณกระพุ้งแก้ม (Koplik’s spots) เป็นลักษณะจำเพาะของโรคหัด 2) ระยะผื่นขึ้น มีผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้า มักเริ่มที่หน้าผาก ไรผม ลามไปตามลำตัว แขน และขา ผื่นมักขึ้นภายใน 3-4 วัน หลังจากเริ่ม มีไข้ ผื่นจะค่อย ๆ จางหายภายใน 7-10 วัน
นายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่เป็นโรคหัด จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ สมองอักเสบ โรคหัดสามารถป้องกันได้โดยการวัคซีนป้องกันโรคหัด เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง โดยวัคซีนที่ใช้คือ MMR (Measles, Mumps, and Rubella) ซึ่งป้องกันได้ทั้งโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ซึ่งเด็กควรได้รับวัคซีน MMR เข็มแรกที่อายุ 9-12 เดือน และเข็มที่สองที่อายุ 18 เดือน วัคซีน MMR ยังสามารถฉีดให้ผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน
แพทย์หญิงนิอร บุญเผื่อน นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเพิ่มเติมว่าหากติดโรคหัดแล้วไม่มีการรักษาจำเพาะ แต่สามารถดูแลแบบประคับประคอง ได้แก่ การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ เช็ดตัวลดไข้และใช้ยาลดไข้เช่น พาราเซตามอล หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก ซึม หรือชัก ควรรีบพบแพทย์ทันที การรักษาโรคหัดอีกวิธีคือ การใช้วิตามินเอ เป็นแนวทางที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ โดยเฉพาะในเด็กที่ขาดวิตามินเอหรือมีภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากวิตามินเอช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดภาวะแทรกซ้อนรวมจนถึงลดอัตราการเสียชีวิต ซึ่งการรักษาโดยการใช้วิตามินเอเป็นเพียงการรักษาเสริมไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสหัดได้โดยตรงควรได้รับการดูแลรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ดูแลภาวะขาดน้ำ และการแยกตัวเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หากเด็กมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก ซึมลง หรือมีภาวะแทรกซ้อน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
*****************************************
#โรคหัด #Measles#โรคผิวหนัง #กรมการแพทย์ #สถาบันโรคผิวหนัง #ทำดีที่สุดเพื่อทุกชีวิต
#สถาบันโรคผิวหนังที่ชาวไทยไว้วางใจและภาคภูมิใจ
-ขอขอบคุณ-
21 มีนาคม 2568