กรมอนามัย เข้าร่วมการประชุมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวนนอกระบบการศึกษา ครั้งที่ 2/2568
- กรมอนามัย
- 27 View
- อ่านต่อ
วันนี้ (21 มีนาคม 2568) ณ โรงแรม ที.เค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกล่าวแสดงความยินดี ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการภาคีร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูก” เพื่อแสดงจุดยืนในการส่งเสริมให้เด็กได้รับนมแม่อย่างเต็มที่ เผยผลสำรวจพบว่ามีเด็กแรกเกิดเพียงร้อยละ 29.4 ได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และมีเพียงร้อยละ 28.6 ที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต หนุนส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูก ตั้งเป้าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 50
นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายในการส่งเสริมให้เด็กทุกคนได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกคือ ทารกแรกเกิดได้กินนมแม่ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และกินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต รวมทั้ง กินนมแม่ต่อเนื่อง ควบคู่อาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น เพราะนมแม่เป็นอาหารที่ดีมีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กทุกช่วงวัย เปรียบเสมือนวัคซีนป้องกันโรคตั้งแต่หยดแรก เพราะในน้ำนมแม่มีภูมิคุ้มกันโรคที่ไม่สามารถหาได้จากอาหารอื่นและช่วยลดภาวะทุพโภชนาการของเด็ก อีกทั้งเป็นการถักทอสายใยความผูกพันจากแม่สู่ลูก ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โครงการนี้นับเป็นหนึ่งโครงการสำคัญที่มีส่วนช่วยให้เด็กไทยไม่เสียโอกาสในการกินนมแม่และผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนอย่างน้อยร้อยละ 50 ได้สำเร็จ
ด้าน นายแพทย์ปกรณ์ ตุงคะเสรีรักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการสำรวจสถานการณ์
เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 2565 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ พบว่ามีเด็กแรกเกิดเพียงร้อยละ 29.4 ได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และมีเพียงร้อยละ 28.6 ที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต และยังมีเด็กเพียงร้อยละ 18.7 ที่ได้กินนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่ง ที่กรมอนามัยและภาคีเครือข่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการสนับสนุนและปกป้องให้เด็กไทยทุกคนได้กินนมแม่ ตามสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก เพื่ออนาคตของประเทศไทย โดยในปัจจุบันสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงค่านิยม ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อระยะเวลาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อให้แม่ที่ต้องทำงาน ยังคงสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์ปกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา กรมอนามัย มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย บริษัทขนส่ง จำกัด บริษัทไทยแอร์เอเชีย จำกัด บริษัทนครชัยแอร์ จำกัด และบริษัทเอเวอรี่เดย์ ด๊อกเตอร์ จำกัด ได้ร่วมมือกันส่งเสริมให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ตามต้องการ โดยให้แม่ ที่ทำงานต่างจังหวัด สามารถส่งนมแม่ข้ามจังหวัด เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย ในการขนส่งนม และยังช่วยชะลอการเปลี่ยนเป็นนมผงทดแทนนมแม่ได้อีกด้วย ซึ่งการจัดทำโครงการฯ ร่วมกับภาคีเครือข่าย ในการให้บริการขนส่งนมแม่ฟรี ระหว่างปี 2563 - 2567 มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 6,595 ราย และเพื่อเป็นการสนับสนุนให้แม่ที่ต้องทำงาน ยังคงสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ จึงได้จัดโครงการต่อเนื่องอีก 3 ปี โดยจะสิ้นสุดในปี 2571 สำหรับครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือเพิ่มจากภาคี อีก 3 หน่วยงาน ที่เล็งเห็นความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้แก่ คณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม บริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด
“ทั้งนี้ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการขนส่งนมแม่ โดยไม่มีคิดค่าใช้จ่ายผ่านโครงการภาคีร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูก อีกทั้งเป็นกรอบความตกลงทั่วไป เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน และดำเนินงานไปในแนวทางเดียวกัน โดยมิได้มุ่งหวังให้มีผลบังคับผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันโดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพิ่มช่องทางการส่งนมแม่ ในกลุ่มแม่ที่ทำงานในจังหวัดที่ห่างไกลลูก 2) ลดปริมาณการใช้นมผสมสำหรับทารก ในกรณีที่แม่ต้องกลับไปทำงานในจังหวัดที่ห่างไกลลูก และ 3) เพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน อย่างน้อยร้อยละ 50” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม กล่าวว่า คณะกรรมาธิการได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของนมแม่ที่มีต่อบุตรจึงมีความคิดที่จะต่อยอดโครงการดังกล่าว โดยเชิญหน่วยงานต่าง ๆ ที่ดำเนินกิจการด้านการขนส่งเข้าร่วมประชุมหารือ เพื่อขอความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการส่งนมแม่สู่ลูก รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการขนส่งนมแม่มาใช้ เช่น กล่องเก็บความเย็นที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ตลอดเส้นทาง อีกทั้งยังได้จัดทำข้อเสนอของคณะกรรมาธิการไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สนับสนุนและผลักดันโครงการดังกล่าวให้เป็นนโยบายระดับชาติ รวมถึงเสนอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้การสนับสนุนตู้เย็น ตู้แช่แข็ง เพื่อเก็บรักษาคุณภาพนมแม่ รวมไปถึงให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้ความช่วยเหลือในการจัดเก็บและรับส่งนม โดย "ภาคีร่วมใจส่งรักส่งนมแม่" ควรมีการดำเนินการใน 3 ระยะ คือ 1) ระยะสั้น เป็นการดำเนินโครงการต่อจากกรมอนามัยและเพิ่มหน่วยงานร่วมเป็นภาคีใหม่ 2) ระยะกลาง คือ แนวทางการเก็บรักษานมแม่ให้คงสภาพ ทั้งก่อน - หลังการดำเนินการขนส่งนมแม่ 3) ระยะยาว คือ การส่งเสริมให้มีห้องนมแม่ทุกหน่วยงานในการเก็บบรรจุนมแม่เพื่อส่งต่อ รวมถึงขยายกรอบอายุเด็กเล็กในศูนย์ดูแลเด็กเล็ก (DAY CARE) ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี
***
กรมอนามัย / 21 มีนาคม 2568