สธ.เฝ้าฯรับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดอาคาร “สิริวรารักษ์”
- กรมอนามัย
- 39 View
- อ่านต่อ
กรมการแพทย์ สถาบันโรคทรวงอกแนะนำเรื่องการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจภายหลังการผ่าตัดบายพาสต่อทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting หรือ CABG) หากเกิด อาการอย่างเฉียบพลัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดการตีบหรืออุดตัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนขาดเลือดเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกด้านซ้าย อาจมีเหงื่อออก ใจสั่นร่วมด้วยมีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ และในบางรายอาจมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นหมดสติ จนหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตกะทันหัน หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หรือรู้สึกผิดปกติ ไม่ควรนิ่งนอนใจควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค โดยแพทย์จะประเมินแนวทางการรักษาที่เหมาะสมได้แก่ 1) รักษาด้วยการรับประทานยา 2) รักษาด้วยการทำหัตถการผ่านทางสายสวนด้วยการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนซึ่งอาจจะใส่ขดลวดเคลือบน้ำยา (Drug Eluting Stent) หรือใช้บอลลูนเคลือบน้ำยา(Drug Coated Balloon) 3)การผ่าตัดบายพาสต่อทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting หรือ CABG) ซึ่งในการรักษาโดยวิธีนี้เป็นการนำหลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดดำ มาทำทางเบี่ยงใหม่เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจบริเวณที่ถูกเลี้ยงด้วยเส้นเลือดหัวใจที่ตีบ ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดบายพาสจะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 7-10 วัน ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวโดยมีโปรแกรมกายภาพฟื้นฟูร่างกาย และมีการติดตามอาการโดยมีการนัดมาตรวจกับศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดอีก 2 สัปดาห์ ทั้งนี้หลังการผ่าตัดประมาณ 1 เดือน ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เช่น ทำงานหรือออกกำลังกายได้ภายใต้ คำแนะนำของแพทย์
นอกจากนี้ผู้ป่วยควรดูแลตนเองหลังผ่าตัดเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษา สิ่งสำคัญ คือ การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบซ้ำ โดยควรปฏิบัติตัวดังนี้ รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ควบคุมปัจจัยเสี่ยงโดยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ควบคุมความดันให้ดีไม่ควรเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท ควบคุมไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ งดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ครั้งละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน และมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อประเมินอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีที่มีอาการผิดปกติเช่น เจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อย ใจสั่นหวิวๆ มีอาการวูบเหมือนจะเป็นลม ผู้ป่วยต้องรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว
*****************************************************************
-ขอขอบคุณ- 13 มิถุนายน 2568
#การดูแลตนเองหลังการผ่าตัดบายพาสต่อทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ#สถาบันโรคทรวงอก #กรมการแพทย์