กรมควบคุมโรค เผย CDC รายงานพบผู้ป่วยรายแรกในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นผู้สูงวัยที่รัฐลุยเซียนา ติดเชื้อจากการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือซากสัตว์ปีก
- สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
- 21 View
- อ่านต่อ
กรมควบคุมโรค เผยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) รายงาน ผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ที่รัฐลุยเซียนา กลายเป็นผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงรายแรกที่พบในสหรัฐฯ จากการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยและตายในฝูงนกที่เลี้ยงไว้ในสวน หลังบ้าน ซึ่งจากการเฝ้าระวังสถานการณ์ในประเทศไทยนั้น พบว่าประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนกรายสุดท้ายเมื่อปี 2549 และกรมควบคุมโรคได้ร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนก ภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (One health)
วันนี้ (21 ธันวาคม 2567) นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคไข้หวัดนกในต่างประเทศว่า “เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ประกาศพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก H5N1 รุนแรงรายแรกในรัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา ถือเป็นผู้ป่วยสะสมรายที่ 61 ผู้ป่วยเป็นชายสูงอายุ 65 ปี และมีโรคประจำตัว ซึ่งขณะนี้กำลังรักษาตัวในห้องไอซียูด้วยภาวะระบบทางเดินหายใจรุนแรงจากการติดเชื้อไข้หวัดนก มีประวัติสัมผัสกับนกป่วย และนกตายภายในฝูงนกหลังบ้าน ถือเป็นกรณีแรกที่มีความเชื่อมโยงกับการได้รับเชื้อจากฝูงสัตว์ปีกในบ้าน จากการตรวจสารพันธุกรรมเบื้องต้นชี้ว่าไวรัส H5N1 ที่ตรวจพบในผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มพันธุกรรม D1.1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับไวรัสในนกป่าและสัตว์ปีกในสหรัฐฯ รวมถึงกรณีพบผู้ป่วยไข้หวัดนกในประเทศแคนาดา และรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
ไข้หวัดนกเป็นโรคจากสัตว์มาสู่คน เดิมเราจะพบเชื้อไข้หวัดนกติดในสัตว์ปีก แต่ระยะหลังพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม คือ ในฟาร์มโคนม ฟาร์มหมู ล่าสุดพบในสหรัฐฯ แต่ยังไม่แพร่จากคนสู่คน
นายแพทย์ภาณุมาศ กล่าวต่อว่า “สำหรับประเทศไทย มีการเตรียมความพร้อมรับมือในการป้องกัน และควบคุมโรคไข้หวัดนกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกรมปศุสัตว์ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (One health) ดำเนินการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จัดการฝึกซ้อมแผนร่วมกันแบบบูรณาการทั้งหน่วยงานที่ดูแลด้านสุขภาพคนและสัตว์ จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนกสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรคดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกสำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และมีการสำรองวัสดุ อุปกรณ์ ในการป้องกัน ควบคุมและรักษาโรคไข้หวัดนก พร้อมทั้งเตรียมห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจหาเชื้อไข้หวัดนก (H5) ที่ก่อโรคในคนอีกด้วย ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่พบรายงานผู้ป่วยโรคไข้หวัดนกรายใหม่ในประเทศ นับตั้งแต่พบผู้ป่วยรายสุดท้ายในคนในปี 2549” นายแพทย์ภาณุมาศ กล่าว
ทั้งนี้ แนะนำท่านที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนก และมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ หรือตาแดงอักเสบ ภายใน 14 วัน ให้รีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง สำหรับประชาชนควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์ปีก ไข่ และผลิตภัณฑ์จากโคนม หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีก สุกร หรือโคนมที่ป่วย หรือตาย ในระยะนี้ หากต้องสัมผัสกับสัตว์ปีก สุกร หรือโคนม ควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก สุกร และโคนม หากพบสัตว์ปีกป่วยตายจำนวนมาก ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ ไม่ควรนำซากสัตว์ปีกหรือสัตว์ที่ป่วยตายโดยไม่ทราบสาเหตุไปประกอบอาหาร ทั้งนี้กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์ปีก บุคลากรทางการแพทย์ ควรเข้ารับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ถึงแม้วัคซีนจะไม่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดนกได้ แต่วัคซีนช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรง อาจป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน (coinfection) และลดการเกิดไวรัสลูกผสมระหว่างไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนกที่รุนแรง และแพร่ระบาดง่ายขึ้น ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ใช้ภายประเทศ หากได้รับการสนับสนุนจะสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ เพื่อความมั่นคงด้านวัคซีนและเป็นการเพิ่มความพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินหากเกิดการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อ ไข้หวัดนก หากท่านมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
****************************
ข้อมูลจาก : กองโรคติดต่อทั่วไป/กองระบาดวิทยา/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
วันที่ 21 ธันวาคม 2567