คณะกรรมการเอดส์ชาติ มีมติให้ตรวจวินิจฉัยเชื้อเอดส์ทางน้ำลายได้ แต่อนุญาตให้ตรวจได้เฉพาะในโรงพยาบาล มีแพทย์เป็นผู้ตรวจเท่านั้น ห้ามจำหน่ายในร้านขายยา เนื่องจากก่อนและหลังตรวจต้องมีการให้บริการคำปรึกษา เตรียมพร้อมด้านจิตใจก่อน ทั้งนี้ยืนยันในน้ำลายไม่ได้มีเชื้อเอดส์ การตรวจเชื้อเอดส์ทางน้ำลายเป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเท่านั้น ประชาชนไม่ต้องตื่นกลัวการติดต่อเชื้อเอดส์ทางน้ำลาย นายแพทย์มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าจากการประชุมคณะกรรมการเอดส์ชาติเมื่อต้นปี 2550 ที่ประชุมได้ทบทวนมติการห้ามตรวจการติดเชื้อเอชไอวีด้วยวิธีตรวจทางน้ำลาย ซึ่งห้ามใช้ตั้งแต่พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา โดยอนุญาตให้ใช้ชุดตรวจดังกล่าวในงานวิจัยเท่านั้น แต่เนื่องจากขณะนี้ทั่วโลกได้พัฒนาเทคโนโลยีการตรวจเอดส์ทางน้ำลายก้าวหน้ามาก พัฒนาให้มีความไว และความแม่นยำใกล้เคียงกับชุดทดสอบการติดเชื้อในเลือด จึงมีมติอนุมัติให้สามารถใช้ตรวจเพื่อการวินิจฉัยการติดเชื้อเอดส์ได้นอกเหนือการตรวจทางเลือด ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ให้กรมควบคุมโรค เชิญผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาถึงรายละเอียดของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของชุดทดสอบทางน้ำลาย เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา และที่ประชุมมีมติเห็นด้วย ฉะนั้นจึงได้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการเอดส์ชาติที่ผ่านมา นายแพทย์มงคล กล่าวว่า ในการอนุญาตให้ใช้ชุดทดสอบเชื้อเอดส์ทางน้ำลาย เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อเอดส์นั้น ที่ประชุมมีมติอนุญาตให้ใช้เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น และต้องตรวจโดยแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลปะ ทั้งนี้ชุดทดสอบดังกล่าวห้ามขายในร้านขายยาทั่วไปอย่างเด็ดขาด ในการตรวจต้องเป็นไปโดยความสมัครใจของผู้รับบริการตรวจ โดยก่อนและหลังตรวจจะต้องมีการให้บริการคำปรึกษาทุกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมด้านจิตใจ ในรายที่ผลการตรวจเป็นลบคือไม่มีการติดเชื้อเอดส์ เจ้าหน้าที่ต้องให้ความรู้เรื่องผลการตรวจ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อรวมทั้งการลดพฤติกรรมเสี่ยง ส่วนในรายที่ผลการตรวจพบว่าติดเชื้อหรือที่เรียกว่าผลบวก จะต้องให้บริการคำปรึกษารวมทั้งการส่งต่อเพื่อรับบริการดูแลและรักษาด้านการแพทย์ รวมถึงการช่วยเหลือทางสังคมอย่างต่อเนื่อง “ขอยืนยันว่า ในน้ำลายไม่มีเชื้อเอดส์ การตรวจน้ำลายเป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ ดังนั้นประชาชนจึงไม่จำเป็นต้องตื่นกลัวการติดต่อของเชื้อเอดส์ทางน้ำลายแต่อย่างใด” นายแพทย์มงคลกล่าว ทั้งนี้การตรวจด้วยวิธีนี้ จะเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีให้มากขึ้น เป็นประโยชน์ทั้งในด้านการส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดีโฟว์จะลดต่ำลงมาก และยังส่งผลดีต่อการป้องกันการติดต่อของเชื้อเอชไอวีในกลุ่มผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญผลการตรวจต้องเป็นความลับระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น การเปิดเผยใดๆก็ตามให้กับผู้อื่น ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ถูกตรวจโดยตรง โดยกระทรวงสาธารณสุขจะออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขเพื่อควบคุมการชุดตรวจเอดส์ทางน้ำลาย เพื่อแจ้งให้ทุกฝ่ายได้ปฏิบัติตามในแนวเดียวกันในเร็วๆนี้ 2/ นายแพทย์มงคล -2- นายแพทย์มงคล กล่าวต่อไปว่า สำหรับความคืบหน้าเรื่องการจัดซื้อยาเอฟาไวเรนซ์(Efavirenz)ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสตัวใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ มีอาการแทรกซ้อนไม่มาก ที่ประเทศไทยนำเข้าจากต่างประเทศในราคาถูก มาใช้รักษาผู้ป่วยเอดส์ โดยใช้สิทธิตามสิทฺธิบัตรด้านยาและเวชภัณฑ์ของประเทศไทย เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดบริการสาธารณสุขให้ผู้ป่วยโรคเอดส์ ไม่ใช่เพื่อการค้า ทำให้ได้ยาราคาถูกกว่าเดิมอีก 50 เปอร์เซนต์ จากประมาณ 1,400 กว่าบาท เหลือเพียงประมาณ 700 บาท คาดจะได้รับยากลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทางด้านนายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า จากการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวีของเยาวชนพบว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากเด็กได้รับอิทธิพลหลายด้านทั้งสิ่งเสพติด และสื่อลามกปลุกเร้าทางเพศมากขึ้น โดยผลการเฝ้าระวังวัยรุ่น เยาวชน ล่าสุดในพ.ศ. 2548 ในกลุ่มเด็กม. 2 ทั่วประเทศจำนวน 16,729 คน เป็นชาย 8,143 คน หญิง 8,586 คน อายุเฉลี่ย 14 ปี พบว่านักเรียนชายเคยดูหนังสือโป๊ วีซีดีโป๊ และวิดีโอโป๊ ร้อยละ 48 เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วร้อยละ 3 เฉลี่ยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 13 ปี โดยร้อยละ 55 ใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และในรอบปีก่อนหน้านี้ เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันร้อยละ 0.3 และทุกครั้งไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย โดยร้อยละ 50 มีการใช้สารเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ส่วนนักเรียนหญิง เคยดูวิดีโอ วิซีดีโป๊ร้อยละ 22 เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วร้อยละ 2 ส่วนใหญ่เป็นแฟน คนรัก โดยมีการใช้ถุงยางอนามัยเพียงร้อยละ 29 ในกลุ่มเด็กม.5 ได้เฝ้าระวังทั้งหมด 13,967 คน เป็นชาย 5,893 คน หญิง 8,074 คน อายุเฉลี่ย 17 ปี พบทั้งนักเรียนชาย เคยดูหนังโป๊ วีซีดีโป๊ วิดีโอโป๊ร้อยละ 82 และ ดูเวปไซต์โป๊ร้อยละ 57 มีเพศสัมพันธ์แล้วร้อยละ 18 ก่อนมีเพศสัมพันธ์มีการใช้สารเสพติด ดื่มเหล้ามากถึงร้อยละ 43 โดยมีการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเพียงร้อยละ 39 ส่วนนักเรียนหญิงมีเพศสัมพันธ์แล้วร้อยละ 9 และมีการดื่มเหล้าก่อนมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 14 ส่วนระดับ ปวช. ปีที่ 2 เฝ้าระวังรวม 14,731 คน อายุเฉลี่ย 17 ปี พบว่านักเรียนชายมีเพศสัมพันธ์แล้วร้อยละ 38 ผู้หญิงมีแล้วร้อยละ 30 ใช้ถุงยางอนามัยเฉลี่ยร้อยละ 42 โดยนักเรียนชายพกถุงยางอนามัยติดตัวร้อยละ 42


   
   


View 7    11/02/2550   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ