จากกรณีชมรมแพทย์ชนบทออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงต่อสังคม โดยตอบคำถาม 8 ข้อเกี่ยวข้องกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อพิสูจน์ความจริงใจว่าไม่ล้มบัตรทอง อาทิกรณีบอร์ดสปสช.ในส่วนของผู้แทนโรงพยาบาลเอกชนที่เคยมีพฤติกรรมเชิญชวนโรงพยาบาล เอกชนแห่งอื่นๆ ไม่ให้เข้าร่วมบริการสิทธิประโยชนืไตวาย การแต่งตั้งบอร์ดสปสช.ในสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ไม่มีประวัติและผลงาน ความเชี่ยวชาญตามที่กฎหมายกำหนด  นั้น   

วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่า เรื่องการตั้งคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มอบให้เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ เพราะเป็นหน้าที่ของบอร์ดสปสช.คณะใหญ่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ต้องฟังมติของเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งอนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการในรายละเอียดตามภารกิจของแต่ละคณะ และนำเสนอผลต่อที่ประชุมบอร์ดใหญ่ เพื่อพิจารณาเป็นมติของบอร์ด  เรื่องที่เกิดขึ้นอาจเป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงกันมากกว่า ขอเรียนทุกฝ่ายว่าอย่าวิตกกังวลเรื่องนี้ เพราะจะทำให้งานดูแลประชาชนล่าช้า ควรเร่งทำงานมากกว่า

สำหรับความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแต่งตั้งอนุกรรมการฯนั้น  ขณะนี้กำลังติดตามว่าได้ดำเนินการไปถึงไหน จะสอบถามในการประชุมวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ กรณีบอร์ดสปสช.ในส่วนของผู้แทนโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นข่าวอยู่ มีเรื่องร้องเรียน บัตรสนเท่ห์ เอกสารแนบมา ก็ให้นำเรื่องเข้าที่ประชุมบอร์ดสปสช.พิจารณาด้วย มติที่ประชุมได้ผลเป็นอย่างไร จะส่งเรื่องให้กลุ่มของโรงพยาบาลเอกชน อาจตำหนิ หรือให้เปลี่ยน ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุม ได้มอบเรื่องให้เลขาสปสช.แล้ว

อนุกรรมการฯไม่ได้ใหญ่ไปกว่าบอร์ดสปสช. เชื่อว่าบอร์ดสปสช.ซึ่งมีสัดส่วนจากทุกภาคส่วนอยู่ มีทั้งผู้แทนภาคประชาชนด้านต่างๆ นอกนั้นเป็นข้าราชการประจำตามที่กฎหมายกำหนด ไม่เชื่อว่าจะทำให้เกิดการสูญเสียประโยชน์จากผู้ใดในอนุกรรมการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขในฐานะผู้ปฏิบัติภารกิจที่สปสช.กำหนด จะต้องวางแผนให้บริการให้ครบตามภารกิจที่หลักประกันสุขภาพตั้งไว้ ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จะอยู่ที่ภาคบริการมากกว่า เช่นการส่งเงินช้า ที่ผ่านมาเรียกว่าเงินค้างท่อ ผู้ให้บริการก็เดือดร้อน โรงพยาบาลบริหารเงินไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก และเป็นการบริหารงานของชุดเก่าไม่ใช่ชุดใหม่ นายวิทยากล่าว  

    นายวิทยากล่าวต่ออีกว่า ขอยืนยันว่า ไม่มีการล้มบัตรทองแน่นอน รัฐบาลมีแต่เร่งดำเนินการ ขอรับรองว่าสิทธิประโยชน์ของประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่ลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาไทยได้เป็นเจ้าภาพประชุม 81 ประเทศมาดูต้นแบบโครงการที่ประเทศไทยทำ  ซึ่งแต่ละประเทศก็พบปัญหาบ้าง แต่ประเทศไทยโชคดี มีแนวร่วมระดับตำบลหมู่บ้าน มีเครือข่ายที่เป็นส่วนร่วมในการดูแล วัฒนธรรมแตกต่างกัน ขณะนี้คนไทยที่เจ็บป่วย โดยเฉพาะช่วงมหาอุทกภัยที่ผ่านมา ได้รับการดูแลรักษาโดยระบบยาฟรีนั่นก็คือหลักประกันสุขภาพที่ดี ไม่มีการสูญเสีย แนวทางที่จะต้องทำ 2 เรื่องนี้ให้ได้เมื่อเก็บ 30 บาทแล้ว เป็นประเด็นตรงกันและกำลังหาข้อยุติก็คือ 1.การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน จะต้องได้รับการดูแลบนบรรทัดฐานเดียวกันทุกสิทธิ และ 2.เรื่องระบบส่งต่อผู้ป่วย

 ****************************  1 กุมภาพันธ์ 2555



   
   


View 7       ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ