วันนี้ (28 พฤษภาคม 2568) แพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค และนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ดำเนินการแถลงข่าวในหัวข้อ “พฤษภา เปิดเทอมใหม่ ปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพหน้าฝน” พร้อมแนะวิธีป้องกันตนเองจากโรคและภัยช่วงหน้าฝน

       โรคโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 27 พฤษภาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 211,717 ราย ผู้เสียชีวิต 51 ราย มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 17 (ช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์) และในช่วงสัปดาห์ที่ 19 - 21 พบว่าจำนวนผู้ป่วยสูงกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยในปี 2568 พบการระบาดแบบกลุ่มก้อนส่วนใหญ่พบที่เรือนจำ ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าสถานการณ์สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทยตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 - วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 JN.1 ยังเป็นสายพันธุ์หลักของสายพันธุ์ทั้งหมดที่พบในประเทศไทย สำหรับสายพันธุ์ XEC พบแนวโน้มลดลง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน รวมถึงประเทศไทย พบจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงแนวโน้มการกลับมาระบาดของโรคในหลายพื้นที่ทั่วโลก ดังนั้น จึงควรมีการเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินมาตรการป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง เช่น การสวมหน้ากากในสถานที่แออัด และการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้มีอาการป่วย หากต้องเดินทางไปต่างประเทศ ควรติดตามสถานการณ์โรคในประเทศปลายทาง เตรียมหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ให้พร้อม หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก และเมื่อเดินทางกลับ ควรสังเกตอาการของตนเองอย่างน้อย 7 วัน หากมีไข้ ไอ หรือเหนื่อยหอบ ควรพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางและประวัติเสี่ยง

       โรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 27 พฤษภาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 343,721 ราย มีผู้เสียชีวิต 45 ราย อายุระหว่าง 3 - 91 ปี เป็นเพศชาย 19 ราย เพศหญิง 26 ราย โดยในผู้เสียชีวิต 45 ราย มีโรคประจำตัว 27 ราย (ร้อยละ 60.00) เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง วัณโรคปอด และภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เป็นต้น แนวโน้มผู้ป่วยลดลงแต่ยังสูงกว่าปี 2567 กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 5 - 9 ปี สายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุด เป็น A/H1N1 (pmd09) การระบาดเป็นกลุ่มก้อนของโรคไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่พบในโรงเรียน

       โรคปอดอักเสบ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 27 พฤษภาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 189,424 ราย ผู้เสียชีวิต 276 ราย แนวโน้มผู้ป่วยลดลงแต่ยังสูงกว่าปี 2567 กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 0 - 4 ปี รองลงมาคือ 60 ปีขึ้นไป ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป

       คำแนะนำสำหรับโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบทางเดินหายใจ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในที่ที่มีคนรวมตัวกันจำนวนมาก ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ หากป่วยติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ควรหยุดพักรักษาตัวจนกว่าจะหายเป็นปกติ แนะนำ 7 กลุ่มเสี่ยง เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
เป็นประจำทุกปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนที่ร่วมโครงการ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568

       โรคไข้เลือดออก ปี 2568 พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกต่ำกว่าปีที่ผ่านมา 2.9 เท่า แต่ยังคงพบอัตราป่วยสูงทางภาคใต้ และอัตราป่วยตายสะสมสูง โดยพบผู้ป่วย 11,198 ราย เสียชีวิต 14 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มวัยเรียน แต่อัตราป่วยตายสูงในกลุ่มอายุ 55 ปี ขึ้นไป แนะประชาชน ทายากันยุง ใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด หากค้างคืนในป่าเขา ไร่นา ต้องนอนในมุ้ง หรือหามุ้งคลุมเปล สำหรับโรงเรียนแนะนำ ทำความสะอาดห้องเรียนไม่ให้มีมุมมืด สำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย หาฝาปิดถังรองน้ำ หรือใส่ทรายกำจัดลูกน้ำ เทน้ำขัง ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน

       โรคแอนแทรกซ์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 27 พฤษภาคม 2568 พบผู้ป่วยยืนยัน 5 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยยืนยันทั้ง 5 ราย เป็นผู้ป่วยจากกลุ่มก้อนการระบาดของโรคแอนแทรกซ์ จังหวัดมุกดาหาร อายุระหว่าง 36 - 58 ปี เพศชาย 4 ราย เพศหญิง 1 ราย มีประวัติโรคร่วม 2 ราย ได้แก่ โรคเบาหวาน ผู้ป่วยทุกรายเป็นโรคแอนแทรกซ์ที่ผิวหนัง (cutaneous anthrax) มีประวัติเสี่ยง ได้แก่ การชำแหละเนื้อโค และการสัมผัสอุปกรณ์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น การถูกมีดบาด นอกจากนี้ยังมีการรายงานผู้ป่วยสงสัยโรคแอนแทรกซ์จาก 10 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี สุรินทร์ อำนาจเจริญ ยโสธร ศรีษะเกษ นครพนม อุดรธานี กาฬสินธุ์ อุตรดิตถ์ และแพร่ ทั้งนี้ ผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ ทุกรายไม่พบเชื้อ Bacillus anthracis การติดเชื้อในคนส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น การชำแหละเนื้อสัตว์ การบริโภคเนื้อสัตว์ดิบหรือปรุงไม่สุก หรือการสัมผัสกับหนังสัตว์หรือขนสัตว์ที่มีเชื้อ หลังได้รับเชื้อประมาณ 1 - 5 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง มีแผลคล้ายบุหรี่จี้ หายใจขัด หายใจลำบาก หากมีอาการรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตสูง แนะนำประชาชน 1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสโค กระบือ แพะ แกะ 2. ล้างมือ ชำระล้างร่างกายหลังสัมผัสสัตว์ 3. เลือกบริโภคเนื้อสัตว์ที่ได้รับการรับรองอาหารปลอดภัย 4. หากพบสัตว์ป่วยตายผิดปกติให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทันที 5. หากมีอาการผิดปกติ
ให้รีบพบแพทย์

       โรคไข้หวัดนก สถานการณ์โรคไข้หวัดนกในคนทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 - 15 พฤษภาคม 2568 มีผู้ป่วยสะสมจากสายพันธุ์ A(H5N1) จำนวน 973 ราย ผู้เสียชีวิต 470 ราย สำหรับประเทศไทยความเสี่ยงยังอยู่ในระดับต่ำแต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศกัมพูชา ปี 2566 - 2567 มีผู้ป่วยสะสม 16 ราย ผู้เสียชีวิตสะสมทั้งหมด 6 ราย ปี 2568 พบผู้ป่วย 3 ราย รวมรายล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 จำนวน 1 ราย สหรัฐอเมริกา ปี 2567 - 2568 มีผู้ป่วยสะสม 70 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 1 ราย อินเดีย ปี 2568 พบเด็กเสียชีวิตติดเชื้อไข้หวัดนก A(H5N1) ในอินเดีย เป็นเด็กหญิงอายุ 2 ปี ในจังหวัดปัลนาดู รัฐอานธรประเทศ เม็กซิโก ปี 2568 พบเด็กติดเชื้อไข้หวัดนก A(H5N1) เด็กหญิงอายุ 3 ปีจากรัฐดูรังโก ติดเชื้อ A(H5N1) รายแรก โดยมีอาการรุนแรง และไม่มีประวัติสัมผัสกับสัตว์หรือฟาร์มสัตว์ปีก เวียดนาม ปี 2568 พบเด็กอายุ 8 ปี ป่วยไข้สมองอักเสบจากการติดเชื้อไข้หวัดนก A(H5N1) จังหวัดเตยนิญ ถูกส่งตัวไปรักษาที่นครโฮจิมินห์ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อไข้หวัดนก A(H5N1) มีประวัติสัมผัสซากไก่ก่อนเริ่มมีอาการประมาณ 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ในปี 2568 ประเทศบราซิลถูกระงับการส่งออกไก่ไปยังสหภาพยุโรป เนื่องจาก WOAH ประกาศสถานะ “ไม่ปลอดจากไข้หวัดนกที่มีความรุนแรงสูง (HPAI)” หลังจากพบไข้หวัดนก (H5N1) ระบาดในฟาร์มที่เมืองมอนเตเนโกร รัฐริโอกรันเดโดซูล แนะประชาชน รับประทานอาหารที่ปรุงสุก โดยเฉพาะสัตว์ปีก ไข่ และผลิตภัณฑ์จากโคนม หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีก สุกรหรือโคนม ที่ป่วยหรือตายผิดปกติ ควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก สุกร และโคนม หากพบสัตว์ปีกป่วยตายจำนวนมาก ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ หรือตาแดงอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ สำหรับประชาชนที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดต้องหมั่นติดตามข่าวสารการระบาดของพื้นที่ที่จะเดินทางไปทำประกันสุขภาพสำหรับการเดินทาง กรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศหากมีอาการป่วยคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ให้รีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการสัมผัสสัตว์ และประวัติการเดินทาง

       โรคเลปโตสไปโรสิส (ไข้ฉี่หนู) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 27 พฤษภาคม 2568 มีผู้ป่วยสะสม 1,261 ราย ผู้เสียชีวิต 15 ราย แนวโน้มผู้ป่วยคงที่ แต่ยังสูงกว่าปี 2567 กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อ “เลปโตสไปร่า” สัตว์รังโรคที่สำคัญ ได้แก่  หนู หมู วัว ควาย แพะ แกะ สุนัข ติดต่อโดยสัมผัสกับปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ สัมผัสกับน้ำหรือดินที่ปนเปื้อนเชื้อ กินอาหารที่ปนเปื้อนกับปัสสาวะของสัตว์ มีระยะฟักตัว 2 - 30 วัน แต่ส่วนใหญ่มักเกิดภายใน 5 - 14 วัน หลังลุยน้ำย่ำโคลน หากติดเชื้อจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว ปวดกล้ามเนื้อ (น่อง/โคนขา) หนาวสั่น ปวดท้อง ตัวเหลืองหรือตาเหลือง แนะประชาชน หลีกเลี่ยงการลุยน้ำย่ำโคลนหรือลงแช่น้ำเป็นเวลานาน หากจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ต ถุงมือยาง หลังลุยน้ำย่ำโคลนหรือลงแช่น้ำ ให้ล้างมือ ล้างเท้า หรืออาบน้ำชำระร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที หากมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัวหรือปวดกล้ามเนื้อ หลังเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือลงแช่น้ำ 1 - 2 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้แพทย์ทราบ

       โรคเมลิออยโดสิส (ไข้ดิน) ปี 2568 มีผู้ป่วย 1,050 ราย ผู้เสียชีวิต 33 ราย ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โรคเมลิออยโดสิส (ไข้ดิน) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei สามารถพบได้ตามแหล่งดินและน้ำตามธรรมชาติทั่วประเทศไทย กลุ่มที่เสี่ยงการติดเชื้อ คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไตเรื้อรัง ธาลัสซีเมีย ติดสุราเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เกษตรกร หรือผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับการสัมผัสดินและน้ำเป็นประจำ สามารถติดต่อได้ 3 ทาง คือ 1. ผ่านทางผิวหนัง โดยการสัมผัสดินและน้ำเป็นเวลานาน ไม่จำเป็นต้องมีบาดแผล 2. ผ่านการกินน้ำและอาหารที่ปนเปื้อน 3. ผ่านการหายใจโดยการสูดดมละอองฝุ่นดินขยะเกิดพายุฝนมีระยะฟักตัว1 วัน ไปจนถึงหลายปี โดยทั่วไปอาการมักปรากฏขึ้นใน 1 - 4 สัปดาห์ หลังได้รับเชื้อ หากติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เสี่ยงเสียชีวิตสูง หากติดเชื้อผู้ป่วยส่วนมากมักมีอาการเป็นไข้ แต่ก็สามารถแสดงอาการได้หลากหลาย ไม่จำเพาะ ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคอื่นๆได้ เช่น วัณโรค หรือโรคปอดบวม การรักษา ระยะเฉียบพลันเพื่อลดโอกาสเสียชีวิต รักษาด้วยยาปฏิชีวนะแบบฉีด 10 - 15 วัน แนะประชาชน หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรง หากจำเป็นหลังลุยน้ำ ย่ำโคลน ให้รีบชำระล้างร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที ทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาดที่บรรจุภัณฑ์มาตรฐานหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานแนะนำให้ดื่มน้ำต้มสุก น้ำที่ใช้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ควรเป็นน้ำสะอาด ที่มีระดับคลอรีนตามมาตรฐาน หลีกเลี่ยงการสูดลมฝุ่นและการอยู่ท่ามกลางสายฝนหากมีไข้สูงต่อเนื่อง 2 วัน ร่วมกับมีประวัติการสัมผัสดินและน้ำ ให้รีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้ป่วยโรคเบาหวาน

       เห็ดพิษ วันที่ 1 มกราคม - 27 พฤษภาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 550 ราย ผู้เสียชีวิต 2 ราย แนวโน้มพบผู้ป่วยต่อเนื่อง และจำนวนผู้ป่วยเริ่มสูงขึ้นกว่าปี 2567 ในสัปดาห์ที่ 16 -18 และพบว่าจำนวนผู้ป่วยสูงกว่าค่ามัธยฐานย้อนหลัง 5 ปี แนะประชาชน ยึดหลัก “เห็ด ไม่รู้จัก ไม่แน่ใจ ไม่เก็บ ไม่กิน” หลีกเลี่ยงการเก็บและกินเห็ดป่า เห็ดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติที่ไม่รู้จักหรือไม่แน่ใจว่ากินได้ ไม่เก็บเห็ดบริเวณที่มีการใช้สารเคมีเนื่องจากเห็ดจะดูดซับพิษจากสารเคมีมาไว้ในดอกเห็ด ไม่กินเห็ดดิบ เช่น เห็ดน้ำหมาก หรือกินเห็ดร่วมกับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น เห็ดหิ่งห้อย เห็ดน้ำหมึก หรือเห็ดถั่วที่ขึ้นตามธรรมชาติ เพราะจะทำให้เกิดพิษได้

       ฟ้าผ่า ปี 2563 - 2567 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากฟ้าผ่าสะสม 284 ราย ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม ผู้ใช้แรงงาน นักเรียน/นักศึกษา โดยในปี 2568 ตั้งแต่เดือน มกราคม - พฤษภาคม มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจากฟ้าผ่าสะสม 37 ราย บาดเจ็บ 35 ราย เสียชีวิต 2 ราย กลุ่มอายุที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากฟ้าผ่ามากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 15 - 59 ปี แนะประชาชน ติดตามสภาพภูมิอากาศจากประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เมื่อฝนกำลังจะตกให้กลับเข้าที่พัก หากไม่ทันให้หาที่หลบที่ปลอดภัย เช่น อาคารที่มั่นคง และอย่าอยู่ใกล้ผนัง ประตู หน้าต่างห้ามอยู่ใกล้ ต้นไม้ เสาไฟฟ้าหรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ หากหาที่หลบไม่ได้ให้นั่งยองๆ ก้มศีรษะให้ตัวอยู่ต่ำที่สุด เท้าชิดกัน และเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ใช้มือปิดหู ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ถอดปลั๊กของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือสื่อสาร ฯลฯ ในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้อุปกรณ์ สิ่งของที่เป็นโลหะ

       วันไข้เลือดออกอาเซียน (ASEAN Dengue Day) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2553 ที่ประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนของชาติสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ณ ประเทศสิงคโปร์ ได้มีมติให้วันที่ 15 มิถุนายน ของทุกปีเป็น “วันไข้เลือดออกอาเซียน” หรือ “ASEAN DENGUE DAY” เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน และรณรงค์เรื่องโรคไข้เลือดออกร่วมกัน

       รณรงค์ป้องกันพลัดตกหกล้มช่วงฤดูฝน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super Aged Society) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หนึ่งในปัญหาที่เงียบแต่รุนแรงในกลุ่มนี้ คือ “การหกล้ม” ที่ไม่ได้จบแค่รอยฟกช้ำหรือกระดูกหัก แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะทุพพลภาพ เสื่อมถอยของร่างกาย และบางครั้งถึงขั้นเสียชีวิต ปัจจัยเสริมความเสี่ยง คือ พื้นลื่น จากฝนตกหนัก แสงน้อย ทัศนวิสัยต่ำ โดยเฉพาะช่วงเช้าตรู่หรือเย็นผู้สูงอายุออกนอกบ้านมากขึ้น เช่น ไปวัด ไปตลาด และไม่คุ้นกับการใช้รองเท้ากันลื่น หรืออุปกรณ์พยุง บ้านพักไม่ได้ปรับสภาพ เช่น พื้นยังคงเปียกลื่น ไม่มีราวจับ พื้นทางเดินขรุขระ แนะยึดหลัก “รู้ ปรับ ขยับเพิ่ม” รู้ คือ รู้จุดอันตราย จุดเสี่ยง รู้ตัวเอง หากเคยล้มในปีที่ผ่านมา ต้องมีแผนป้องกันล้มซ้ำทันที ปรับ คือ ปรับบ้านให้ปลอดภัย เช่น ดูแลพื้นให้แห้งเสมอ ปูพื้นกันลื่น ติดราวจับในห้องน้ำ เลือกใช้รองเท้าพื้นยางมีดอกยึดเกาะ ขยับเพิ่ม คือ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (คาร์ดิโอ เสริมแรงต้าน) รวมถึงฝึกการทรงตัวโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ

ตรวจจับเร็ว ตอบโต้ทัน ป้องกันได้

*************************
ข้อมูลจาก : กรมควบคุมโรค
วันที่ 28 พฤษภาคม 2568



   
   


View 38    28/05/2568   ข่าวในรั้ว สธ.    สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ