นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคงให้ความสำคัญกับการติดตามสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง (Variants of Interest - VOI) อย่างJN.1*และสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง (Variants under Monitoring - VUM) อีก 6 สายพันธุ์ได้แก่KP.3*, KP.3.1.1*, LB.1*, XEC*, LP.8.1*และNB.1.8.1 ทั้งนี้สัดส่วนของสายพันธุ์โอมิครอนทั่วโลกอ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูลกลางGISAIDระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึง 27เมษายน 2568 พบว่า
         - LP.8.1* มีสัดส่วนสูงที่สุดในสัปดาห์ที่ 14 (42.0%) แต่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงสัปดาห์ที่ 17 (39.0%)
         - NB.1.8.1 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ 14 (2.5%) จนถึงสัปดาห์ที่ 17 (10.7%)
         - XEC*มีสัดส่วนลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ 14 (22.3%) จนถึงสัปดาห์ที่ 17 (17.8%)

          อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อธิบายว่า NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนมีต้นกำเนิดมาจากสายพันธุ์ลูกผสมXDV.1.5.1 โดยพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ปัจจุบัน NB.1.8.1พบใน22ประเทศทั่วโลกจำนวนลำดับพันธุกรรมที่พบ518 รายยังน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆอย่างมากแต่สิ่งที่น่าสนใจคือสัดส่วนของNB.1.8.1 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด4 สัปดาห์ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้กำลังแพร่หลายมากขึ้น และเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามองแล้วสิ่งที่ทำให้NB.1.8.1 น่าจับตาคือมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งโปรตีนหนามหลายจุดที่เพิ่มเติมจากสายพันธุ์JN.1 รวม 7 ตำแหน่งได้แก่ S:T22N, S:F59S, S:G184S, S:A435S, S:F456L, S:T478I, S:Q493E ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแพร่กระจายและหลบหลีกภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีข้อมูลว่าNB.1.8.1 อาจจะแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นและหลบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นแต่ยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดโรครุนแรงมากขึ้น

ภาพแสดงวิวัฒนาการของไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอน มีการกลายพันธุ์และแตกแขนงออกเป็นสายพันธุ์ย่อยมากมาย ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ย่อยก็มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมอีก การติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีความสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของไวรัส และพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือกับการระบาด

             นายแพทย์ยงยศ เปิดเผยต่ออีกว่า สำหรับสถานการณ์ของไวรัสSARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย โดยผลจากการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2568 พบสายพันธุ์โอมิครอนJN.1*, KP.3.1.1*, KP.3*, LP.8.1*, NB.1.8.1, Other, และXEC* ข้อมูลที่น่าสนใจคือNB.1.8.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลักอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมในขณะที่สายพันธุ์XEC*และJN.1*มีสัดส่วนลดลง
            - NB.1.8.1: ไม่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้เลยในเดือนมกราคมถึงมีนาคมแต่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนเมษายน (43 ราย) และพฤษภาคม (167 ราย) จำนวนผู้ติดเชื้อรวม 210 ราย
            - JN.1*: พบมากที่สุดในเดือนมกราคม (17 ราย) แต่จำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียง 5 รายในเดือนพฤษภาคม
            - XEC*: จำนวนผู้ติดเชื้อค่อนข้างคงที่ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายนแต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนพฤษภาคม
            - สายพันธุ์อื่นๆ: (KP.3.1.1*, KP.3*, LP.8.1*, Other) มีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อย

กราฟแสดงสัดส่วนของไวรัสSARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทยประจำปีพ.ศ. 2568  
เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม2568 (อ้างอิงวันที่เก็บตัวอย่าง)

แผนภูมิแสดงสัดส่วนของไวรัสSARS-CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย
ที่มา : ผลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ระหว่างวันที่ 29 เมษายน - 25พฤษภาคม 2568 (อ้างอิงวันที่เก็บตัวอย่าง)


แผนภูมินี้แสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์ NB.1.8.1 ครองสัดส่วนส่วนใหญ่อย่างชัดเจน (73.9%) ในขณะที่สายพันธุ์อื่น ๆ มีสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก โดย XEC* เป็นสายพันธุ์ที่พบรองลงมา (13.7%)


           “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่ายยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่องโดยรวบรวมตัวอย่างจากทั่วประเทศตรวจหาสารพันธุกรรมถอดรหัสจีโนมและเผยแพร่ข้อมูลผ่านGISAID อย่างสม่ำเสมอการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ช่วยให้ห้องปฏิบัติการพร้อมรับมือการระบาดในอนาคตสิ่งสำคัญคือการป้องกันตนเองสวมหน้ากากล้างมือบ่อยๆ ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและสุขภาพส่วนบุคคลไม่ใช่จำเพาะกับสายพันธุ์เท่านั้นขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด” นายแพทย์ยงยศ กล่าวทิ้งท้าย
 



   
   


View 273    29/05/2568   ข่าวในรั้ว สธ.    กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์