กระทรวงสาธารณสุขชี้ไทยเสี่ยงต่อไวรัสอีโบล่าต่ำแต่ไม่ประมาท สั่งเฝ้าระวังป้องกัน 3 มาตรการ เผยที่ผ่านมาไทยยังไม่เคยพบผู้ป่วยโรคนี้ แนะประชาชนที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หากมีอาการป่วยหลังเดินทางกลับ คือมีไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อและช่องท้องรุนแรง อ่อนเพลียมากวิงเวียนศีรษะ ขอให้สงสัยไว้ก่อนและให้รีบมาพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางด้วย

          ตามที่มีรายงานข่าวพบเชื้อไวรัสอีโบลาระบาดในประเทศสาธารณรัฐกินี องค์การอนามัยโลก สรุปยอดผู้ป่วย ณ วันที่ 27 มีนาคม 2557 ยืนยันพบผู้ป่วย 106 ราย เสียชีวิต 66 ราย คิดเป็นอัตราตายร้อยละ 64  ปัจจุบันโรคนี้ยังไม่มีวัคซีนหรือวิธีรักษา โดยเชื้อไวรัสอีโบล่าสามารถแพร่ระบาดได้จากการสัมผัสเลือด อุจจาระ หรือเหงื่อของผู้ป่วยโดยตรง หรือมีเพศสัมพันธ์ หรือสัมผัสศพผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ โดยไม่มีการป้องกัน

          ในส่วนของประเทศไทย  นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า
ที่ผ่านมาไทยยังไม่เคยมีรายงานผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสอีโบล่า (
Ebola) และแม้ว่าไทยจะมีความเสี่ยงต่อโรคนี้ต่ำก็ตาม แต่ก็ไม่ประมาท กระทรวงฯ ได้จัดระบบเฝ้าระวังและป้องกันโรคนี้ 3 มาตรการหลัก ได้แก่ 1.ให้สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าจากองค์การอนามัยโลก ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศเฝ้าระวังผู้ป่วยโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค เนื่องจากโรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและไม่มียารักษาโรคเฉพาะ  จึงต้องอาศัยระบบการเฝ้าระวังและการตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ซึ่งไทยมีความเข้มแข็งในเรื่องนี้เป็นอย่างดี หากพบผู้ป่วยมีอาการอยู่ในข่ายสงสัยให้รายงานทันที 2.ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เตรียมความพร้อมในการตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการและ 3.มาตรการดูแลรักษาหากมีผู้ป่วยที่มีอาการในข่ายสงสัย โดยใช้มาตรฐานเดียวกับการดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อที่มีอันตรายสูง เช่น ไข้หวัดนก โรคซาร์ส    ซึ่งโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศมีความพร้อมอยู่แล้ว

          ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคอีโบล่า เป็นกลุ่มโรคไข้เลือดออกชนิดหนึ่ง เป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสชนิดเฉียบพลันรุนแรงที่มีอัตราป่วยตายสูง อัตราการแพร่ระบาดสูงและเร็ว มีอัตราตายค่อนข้างสูงคือร้อยละ 50-90  เชื้อมีระยะฟักตัว 2-21 วัน  อาการของผู้ป่วยคือมีไข้สูงทันที อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะมาก ตามด้วยอาการเจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงขึ้นตามตัว ในรายที่รุนแรงหรือในบางรายที่เสียชีวิตจะมีอาการเลือดออกง่าย โดยมักเกิดร่วมกับภาวะตับถูกทำลาย ไตวาย มีอาการทางระบบประสาทส่วนกลางและช็อก อวัยวะหลายระบบเสื่อมหน้าที่ ขณะนี้องค์การอนามัยโลกยังไม่มีคำแนะนำห้ามเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง อย่างไรก็ดี ผู้ที่เดินทางกลับจากพื้นที่ที่มีการระบาดโรคชนิดนี้ หากมีอาการป่วยคล้ายอาการที่กล่าวมา ขอให้รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทางให้แพทย์ทราบด้วย เพื่อให้การดูแล ป้องกันการเสียชีวิต

         นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า เชื้อไวรัสอีโบล่า ติดต่อกันได้จากการสัมผัสเลือด อุจจาระ หรือเหงื่อของผู้ป่วยโดยตรง หรือมีเพศสัมพันธ์ หรือสัมผัสศพผู้เสียชีวิตจากโรคนี้โดยไม่มีการป้องกัน ดังนั้นการป้องกันโรคอีโบล่า ผู้ติดเชื้อโรคนี้ต้องงดมีเพศสัมพันธ์หลังการเจ็บป่วยเป็นเวลา 3 เดือน หรือจนกระทั่งตรวจไม่พบไวรัสในน้ำอสุจิ โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ โทร 0 2590 3159, 3538 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422                                                                            

 

ทั้งนี้ เชื้อไวรัสอีโบล่าเริ่มพบครั้งแรกที่ประเทศซูดานเมื่อพ.ศ.2519 และมีรายงานผู้ป่วยในประเทศยูกันดา เมื่อพ.ศ. 2543 จำนวน 425 ราย เสียชีวิต 224 ราย นับเป็นการระบาดที่ใหญ่ที่สุดของโรคอีโบล่า ต่อมาในพ.ศ.2544 มีรายงานผู้ป่วยในประเทศกาบองและประเทศสาธารณรัฐคองโก จนถึงธันวาคม พ.ศ.2552 มีรายงานผู้ป่วยอีโบลาทั้งสิ้น 1,850 ราย เสียชีวิต 1,200 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 64  ต่อมาในปี 2553 มีรายงานการติดเชื้ออีโบล่าสายพันธุ์เรสตันในสุกรในประเทศฟิลิปปินส์ร่วมกับมีผู้ป่วย 6 ราย ซึ่งเป็นพนักงานในโรงฆ่าสัตว์ที่สัมผัสกับสุกร จึงเป็นครั้งแรกที่เริ่มมีการสงสัยการแพร่เชื้อจากสุกรมายังมนุษย์ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ความเชื่อนี้แต่อย่างใด

                                                                     ********************************              2 เมษายน 2557



   
   


View 11    02/04/2557   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ