ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยประเทศไทยยังไม่พบการระบาดของเชื้อไวรัสฮานตา ไทยเคยพบผู้ป่วยในปี 2541 จำนวน 1 ราย ไม่เสียชีวิต สั่งการสำนักระบาดวิทยาเฝ้าระวัง แนะการป้องกันโรค ต้องกำจัดหนู ทั้งหนูนา หนูบ้าน หนูพุก ที่เป็นตัวการก่อโรค ให้ตาย อย่าใช้วิธีไล่หนู นอกจากไม่ได้ผลแล้ว จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคฉี่หนูและฮานตา พร้อมดูแลบ้านเรือนให้สะอาด

          จากกรณีที่มีข่าวพบผู้เสียชีวิตจากโรคฮานตาไวรัสรายแรกในทวีปอเมริกาใต้ เป็นหญิงวัย 29 ปี เสียชีวิตหลังเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล 18 วัน โดยโรคฮานตาไวรัสมีหนูเป็นพาหะนำโรค เป็นโรคร้ายแรง อาการเริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดและเชื้อจะลุกลามไปที่ปอดและทำลายระบบทางเดินหายใจทำให้เสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

          เกี่ยวกับเรื่องนี้นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า เชื้อฮานตาไวรัส(Hantavirus)เป็นเชื้อที่เกิดจากสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู แพร่มาสู่คนโดยการสัมผัสโดยตรงกับปัสสาวะ อุจจาระ หรือน้ำลายของสัตว์ที่มีเชื้อ หรืออาจติดจากการสูดละอองสิ่งขับถ่ายดังกล่าวเข้าไป ทำให้เกิดอาการป่วย  โรคนี้มีระยะฟักตัวประมาณ 2 4 สัปดาห์ หรืออาจเร็วภายใน 2- 3 วัน หรือนานถึง 2 เดือนก็ได้ จะส่งผลให้เกิดอาการ 2 แบบ คือ 1. ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกที่มีอาการทางไต(Hemorrhagic Fever with Renal Syndrome : HFRS) มีอัตราป่วยตายประมาณร้อยละ 5 อาการจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ปวดเอว ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะมาก มีเลือดออกที่อวัยวะต่างๆ

กลุ่มอาการที่ 2 มีอาการทางระบบหัวใจและทางเดินหายใจ(Hantavirus Cardio Pulmonary Syndrome : HCPS) เป็นอาการที่รุนแรงที่สุด อัตราตายเฉลี่ยร้อยละ 40 50  อาการจะเริ่มจากมีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบากอย่างเฉียบพลัน อาการจะทรุดลงอย่างรวดเร็ว ช็อคและหัวใจวาย เสียชีวิตในที่สุด

จากการเฝ้าระวังโรค   ในประเทศไทยพบผู้ป่วยประปรายน้อยมาก  ไม่จัดอยู่ในขั้นระบาด ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต เคยมีรายงานผู้ป่วยในปี 2528 ที่จังหวัดกาญจนบุรีและกรุงเทพมหานคร  และในปี 2541 พบอีก 1 ราย ในกรุงเทพมหานคร  อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้สำนักระบาดวิทยา เฝ้าระวังผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งในการตรวจวิเคราะห์เชื้อทางห้องปฏิบัติการ ประเทศไทยสามารถทำได้อยู่แล้ว

นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวต่อไปว่า ฮานตาไวรัสนั้น ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน แต่เป็นการติดต่อจากสัตว์สู่คน  สาเหตุของโรคดังกล่าว คือหนู ซึ่งอาศัยตามบ้าน ตามท่อน้ำ และไร่นา  เช่นหนูนา หนูบ้าน หนูพุก โดยหนูเหล่านี้  สามารถที่จะนำโรคฉี่หนูได้อยู่แล้ว  ในการป้องกันโรคประชาชนสามารถทำได้ คือการดูแลบ้านเรือนให้สะอาด และกำจัดหนูให้ตาย  ไม่ใช้วิธีการไล่หนู ซึ่งนอกจากไม่ได้ผลแล้ว ยังจะทำให้หนูแพร่พันธุ์มากขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฉี่หนูและฮานตาไวรัสอีกด้วย

ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันในการรักษาผู้ป่วยจะไม่มียาเฉพาะ  จะรักษาดูแลตามอาการ  ดังนั้นหากประชาชนมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเอว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และเมื่อพบผู้ป่วยในพื้นที่จะต้องรายงานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อทำการสอบสวนควบคุมโรคไม่ให้แพร่ระบาด

..................................  25 กรกฎาคม 2554



   
   


View 12    25/07/2554   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ