กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนให้มีมาตรการป้องกันโรคเอดส์ และส่งเสริมให้เกิดการยอมรับต่อผู้ป่วยติดเชื้อในสังคมทุกระดับซึ่งประเทศไทยได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติ โดยมีเป้าหมายองค์การอนามัยโลก (WHO) คือ ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา โดยจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ไม่เกิน 1,000 คนต่อปี ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่เกิน 4,000 รายต่อปี

                     (วันนี้ 4 ธันวาคม 2566 ) นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยหลังเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการขอรับรองการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบบีจากแม่สู่ลูก เป็นครั้งที่ 4 ว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก (World AIDS Day) เพื่อสร้างความตระหนักให้กับประชาชนทุกประเทศทั่วโลก ร่วมกันรณรงค์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอดส์ และเป็นการย้ำเตือนว่า เอชไอวี หรือ โรคเอดส์ยังคงอยู่ โดย UNAIDS กำหนดแนวคิดการณรงค์วันเอดส์โลก ในปี 2566 คือ   "Let Communities Lead" ซึ่งมีความหมายถึง" ให้ชุมชนนำทางมุ่งสู่การยุติเอดส์" เพื่อสนับสนุนให้มีมาตรการป้องกันโรคเอดส์ และส่งเสริมให้เกิดการยอมรับต่อผู้ป่วยติดเชื้อในสังคมทุกระดับซึ่งประเทศไทยได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ ปี 2560 – 2573 มีเป้าหมาย คือ ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา โดยจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่ไม่เกิน 1,000 คนต่อปี ลดการเสียชีวิต ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่เกิน 4,000 รายต่อปี และลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะลง เหลือไม่เกินร้อยละ 10
                      ​นายแพทย์เอกชัย กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมากรมอนามัยให้ความสำคัญกับการดำเนินงานป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก โดยได้รับรางวัลจากองค์การอนามัยโลกในเวทีการประชุม Global Validation Advisory Committee ณ นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2 ของโลกในการประกาศความสำเร็จดังกล่าวเป็นครั้งที่ 3 ในปี 2565 นับจากครั้งที่ 1 เมื่อปี 2559 ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2561 โดยประเทศไทยยังคงรักษาคุณภาพ ในการดำเนินงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในทารกแรกเกิดที่เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีให้ต่ำกว่าร้อยละ 2  สามารถป้องกันเด็กที่เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีขณะตั้งครรภ์ได้ปีละประมาณ 3,500 คน ทำให้มีเด็กทารกที่ติดเชื้อเอชไอวีต่ำกว่า 50 รายต่อปี เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็งของระบบบริการสาธารณสุข โดยเฉพาะงานอนามัยแม่และเด็กมีการดำเนินงานที่มีคุณภาพครอบคลุมสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายลูกเกิดรอดแม่ปลอดภัยมานานกว่า 50 ปี
                    ​“ทั้งนี้ การลดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกต้องอาศัยความร่วมมือครอบครัว ชุมชน สังคม และสร้างความเท่าเทียม โดยสนับสนุนหญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด รวมทั้งลูกและครอบครัวที่ติดเชื้อเอชไอวีให้ได้รับการดูแลอย่างครอบคลุมและต่อเนื่อง ดังนี้ 1) ฝากครรภ์โดยเร็วก่อน 12 สัปดาห์ เพื่อได้รับการดูแลสุขภาพตนเองและลูกในครรภ์  2) รับการปรึกษาพร้อมสามี เพื่อตรวจหาโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี  3) หากหญิงตั้งครรภ์และคู่มีผลการตรวจเลือดเอชไอวีเป็นบวก จะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมโดยหญิงตั้งครรภ์จะได้รับยาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์ประสิทธิภาพสูง (HAART) เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก และ 4) เด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะได้รับยาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์ประสิทธิภาพสูง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และได้รับนมผสมเพื่อทดแทนนมแม่นานถึง  18 เดือน” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
                                                                                                                       ***
                                                                                                                                                                                                        กรมอนามัย / 4 ธันวาคม 2566



   
   


View 246    04/12/2566   ข่าวในรั้ว สธ.    สำนักสารนิเทศ