รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วง “ไข้หวัดใหญ่” ยังมีอุบัติการณ์สูง พบป่วยแล้ว 1.5 แสนราย ประสานความร่วมมือเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค ทั้งในโรงเรียน เรือนจำ ค่ายทหาร ส่วน “ไข้เลือดออก”การระบาดเริ่มชะลอตัว มีผู้ป่วยแล้ว 9.1 หมื่นราย เสียชีวิต 93 ราย พบอัตราป่วยสูงในกลุ่มเด็ก แต่อัตราป่วยตายสูงในผู้ใหญ่ เตือนมีไข้สูงเกิน 2 วัน ให้รีบไปพบแพทย์

         วันนี้ (21 กันยายน 2566) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับรายงานสถานการณ์โรคสำคัญที่กำลังมีการระบาดในขณะนี้ 2 โรค คือ โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 9 กันยายน 2566 มีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่จำนวน 154,829 ราย อัตราป่วยคิดเป็น 233.95 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 0.001 ทั้งนี้ หลังจากมีการประกาศให้โรคโควิด 19 เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง ประชาชนผ่อนคลายเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยลง พบว่าอัตราการติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ที่มีผู้ป่วยมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 3 เท่า กระทรวงสาธารณสุขได้รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่ม โรคอ้วน หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป พร้อมทั้งกำหนดมาตรการและประสานความร่วมมือในการป้องกันควบคุมโรค โดยมีหนังสือถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แจ้งแนวทางและขอความร่วมมือในการเตรียมความพร้อม เฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ทั้งในโรงเรียน สถานศึกษา เรือนจำ ทัณฑสถาน สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ค่ายทหาร

         นพ.ชลน่านกล่าวต่อว่า อีกโรคที่มีการระบาดคือ ไข้เลือดออก ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 13 กันยายน 2566 มีผู้ป่วย 91,979 ราย อัตราป่วย 139.09 ต่อประชากรแสนคน ผู้เสียชีวิต 93 ราย จาก 44 จังหวัด อัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 0.1 โดยพื้นที่อัตราป่วยสูงได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ประเด็นสำคัญคือ พบอัตราป่วยสูงในเด็กอายุ 5-14 ปี และกลุ่มอายุ 15-24 ปี แต่อัตราป่วยตายกลับสูงในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 55-64 ปี อัตราป่วยตายสูงสุด ร้อยละ 0.21  รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 25-34 ปี อัตราป่วยตายร้อยละ 0.17 ภาพรวมสรุปได้ว่าผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป ที่เป็นไข้เลือดออกจะมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าเด็ก 2-3 เท่า เนื่องจากส่วนใหญ่เมื่อป่วยมักไปพบแพทย์และได้รับการรักษาช้าเกินไป ดังนั้น หากมีไข้ รับประทานยา 2 วันแล้วไม่ดีขึ้น ขอให้รีบไปพบแพทย์ ที่สำคัญ ห้ามซื้อยาชุด ไอบูโพรเฟน แอสไพริน หรือยากลุ่มเอ็นเสดมารับประทานเด็ดขาด

         “สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในปีนี้ค่อนข้างสูง และขณะนี้การระบาดเริ่มชะลอตัว แต่ยังพบผู้ป่วยต่อเนื่องในบางจังหวัด มาตรการป้องกันควบคุมโรคที่ดีที่สุด คือ การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ควบคู่ไปกับการกำจัดยุงตัวแก่ในพื้นที่ระบาด และป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ใช้กลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพิ่มความร่วมมือในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่และสถานที่เสี่ยง เช่น โรงเรียน วัด ชุมชน และโรงงาน” นพ.ชลน่านกล่าว

************************************* 21 กันยายน 2566



   
   


View 15820    21/09/2566   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ