แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันโรคผิวหนัง ชี้วัยรุ่นไทยขณะนี้มีค่านิยม หน้าใส ไร้สิว แนะเคล็ดลับการดูแลใบหน้าด้วยวิธีประหยัด โดยรักษาความสะอาดผิว พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังกายสร้างความแจ่มใสจิตใจ เลือดสูบฉีดดีขึ้น ทำให้หน้าตาสดชื่น หากจำเป็นต้องใช้ยารักษา ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง นายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง เปิดเผยเกี่ยวกับปัญหาสิวบนใบหน้าว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่มักเป็นมากในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว ซึ่งเป็นวัยที่ให้ความสำคัญกับความสวยความงามมากเป็นพิเศษ เมื่อเป็นสิวจึงทำให้เกิดความกังวล บางคนถึงกับเสียความมั่นใจในตนเอง และต้องขวนขวายหาวิธีรักษาทุกวิถีทาง ซึ่งค่านิยมวัยรุ่นขณะนี้อยากมีผิวหน้าขาวใส ไร้สิว ทำให้มีคลินิกหรือสถานเสริมความงามที่ให้บริการดูแลปัญหาผิวพรรณเกิดขึ้นมารองรับบริการเรื่องนี้จำนวนมาก เสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงให้เสียทรัพย์สิน หรือได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องจากผู้ที่ไม่มีความรู้ จนผิวหน้าเสียโฉม หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ นายแพทย์จิโรจ กล่าวต่อว่า สิวจัดเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นตุ่มสีเดียวกับผิว ตุ่มแดง ตุ่มหนอง หรือเป็นถุงคล้ายซีสต์ มีหลายขนาด มักพบบริเวณใบหน้า หน้าอกและหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ เกิดจากระบบฮอร์โมนในร่างกายกระตุ้นให้ต่อมไขมันโตขึ้น มีการอุดตันและติดเชื้อแบคทีเรีย จากพันธุกรรม โดยพบว่าผู้ที่พ่อแม่เป็นสิวมาก เมื่อโตเป็นวัยรุ่น ก็มีแนวโน้มเป็นสิวมากเช่นกัน จากการสัมผัสหรืออยู่ท่ามกลางฝุ่นละออง ความร้อน แสงแดด และจากความเครียด ความวิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดจากการล้างหน้าบ่อยๆ ทำให้ต่อมผิวหนังขับไขมันออกมามากและถี่ขึ้น หรือเกิดจากการดูแลความสะอาดร่างกายและอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ ไม่ดีพอ การรับประทานยาบางประเภท เช่น ฮอร์โมน เป็นต้น นอกจากนี้การใช้เครื่องสำอางบางชนิด เช่น ออยล์หรือครีมที่ผสมตัวยาเสตียรอยด์ น้ำมันแต่งผม โดยเฉพาะผู้ที่ผมยาวและปรกใบหน้า เมื่อมีเหงื่ออกและผสมน้ำมันแต่งผม จะทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน การดูแลใบหน้าและปัญหาสิวที่ถูกต้อง ควรเริ่มจากการจัดการปัญหาที่เป็นต้นเหตุให้เกิดสิว ได้แก่ รักษาความสะอาดผิวหน้า ผิวกายและเส้นผมอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางโดยไม่จำเป็น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย เล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะมีผลดีต่อระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ชะลอความแก่ หน้าอ่อนกว่าวัย นอนหลับดีขึ้น รวมทั้งรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะครบ 5 หมู่ โดยเพิ่มการกินผักผลไม้ให้มากขึ้น เนื่องจากมีวิตามินมาก และดื่มน้ำสะอาดมากๆ หากเป็นสิวห้ามเช็ดถูแรงๆ ห้ามบีบหรือแกะสิว รวมทั้งห้ามนวดหน้าหรือขัดหน้า เพราะอาจทำให้สิวอักเสบง่ายและเป็นแผลเป็นได้ สำหรับวิธีรักษาสิว นอกจากการทายาและการกินยา ซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมกันมากแล้ว ยังมีการฉีดยาที่หัวสิวอักเสบ และการฉายแสงเพื่อรักษาสิวด้วย ซึ่งแพทย์ผู้ให้การรักษาจะเป็นผู้พิจารณาตามลักษณะความรุนแรงของสิว โดยยาที่ใช้กินรักษาสิวมี 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ กรดวิตามินเอ และฮอร์โมน แต่ละชนิดจะมีผลข้างเคียงแตกต่างกัน การใช้ยาจึงต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเท่านั้น ดังนั้น หากไปใช้บริการรักษาสิวที่คลินิกหรือสถานเสริมความงาม ขอให้สังเกตแพทย์ที่ให้บริการด้วยว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้หรือไม่ เพื่อความปลอดภัย นายแพทย์จิโรจ กล่าวในตอนท้าย ******************************* 15 มิถุนายน 2551


   
   


View 13    15/06/2551   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ