รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกนโยบายให้คนไทยเข้าถึงวัคซีน สร้างความปลอดภัยจากโรค ติดเชื้อ เผยขณะนี้อัตราการครอบคลุมวัคซีนของคนไทยสูงถึงร้อยละ 98 แต่ยังเสี่ยงโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ เตรียมเร่งรัดการผลิตและพัฒนาวัคซีนเพิ่ม ป้อนให้ยูนิเซฟ ส่งไปใช้ทั่วโลก รวมทั้งผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพื่อฉีดให้เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว บ่ายวันนี้ (4 เมษายน 2550) นายแพทย์มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานวัคซีนองค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ที่นิคมอุสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นโรงงานผลิตวัคซีนร่วมทุนขององค์การเภสัชกรรมกับบริษัทซาโนฟี่ ปาสเตอร์ ตั้งขึ้นเมื่อปลายปี 2540 โดยองค์การเภสัชกรรมร่วมทุนและบริษัทซาโนฟี่ ปาสเตอร์ ร่วมทุนร้อยละ 49 และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ร้อยละ 2 นายแพทย์มงคล กล่าวว่า รัฐบาลไทย มีนโยบายให้คนไทยได้เข้าถึงวัคซีนที่จำเป็นฟรีทุกคน เพื่อสร้างความปลอดภัยจากโรคติดเชื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของประชากรโลกถึง 1 ใน 3 ของการตายทั้งหมด โดยการลงทุนป้องกันโรคด้วยวัคซีน เป็นทางเลือกที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้เองในประเทศด้วย ซึ่งขณะนี้โรคติดเชื้อที่เป็นปัญหาในไทยและยังไม่มีวัคซีนป้องกัน เช่น โรคไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย โรคฉี่หนู ซึ่งการผลิตวัคซีนใช้เองในประเทศ ถือว่าเป็นปัจจัยด้านความมั่นคงของประเทศด้วย ปัจจุบันโรงงานผลิตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด เป็นโรงงานต้นแบบที่ทันสมัย ได้มาตรฐานที่ดีที่สุดในเอเชีย ได้รับการยอมรับจากสำนักงานอาหารและยาและกำลังอยู่ภายในการรับรองมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก สามารถผลิตวัคซีนได้ 6 ชนิด ได้แก่ 1.วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า 2.วัคซีนป้องกันโรคหัด 3.วัคซีนป้องกันโรคคางทูม 4.วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ 5.วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ และ 6.วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ มีกำลังผลิตปีละ 20 ล้านโดส และขณะนี้กำลังพัฒนาวัคซีนฉีดป้องกัน 4 โรครวมกัน 1 เข็ม ได้แก่ โรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน และไวรัสตับอักเสบบี เพื่อให้สะดวกต่อการใช้มากขึ้น ไทยอยู่ระหว่างขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คาดว่าจะผลิตจำหน่ายได้ภายในปลายปี 2550 นี้ สำหรับวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ-เจอี ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับสายพันธุ์ระบาดในไทย จะเริ่มผลิตปี 2552 ทางด้านนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่าในอนาคตอันใกล้ ไทยจะเป็นศูนย์ส่งออกวัคซีนให้ยูนิเซฟและประเทศที่ต้องการด้วย ซึ่งจากการวิเคราะห์กำลังการผลิตวัคซีนบางตัว พบว่ามีมากเกินความต้องการใช้ในไทย เช่น วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ผลิตได้ปีละ 3 ล้านโดส แต่ในประเทศใช้เพียง 2 ล้าน 7 แสนโดส วัคซีนป้องกันบาดทะยักต้องการใช้ไม่ถึง 4 ล้านโดส แต่ผลิตได้ ปีละ 7 ล้านโดส โดยวัคซีนทั้งหมดนี้สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้อีก 1 เท่าตัวหรือ 51 ล้านโดส ในปี 2551 ที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการบริหารวัคซีนป้องกันโรคให้ประชาชน คนไทยร้อยละ 98 ได้รับการฉีดวัคซีน ทำให้โรคติดต่อบางโรคหายไปแล้ว เช่น โรคไข้ทรพิษ โรคโปลิโอ อย่างไรก็ตาม วัคซีนจำเป็นต้องพัฒนาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพราะมีโรคติดเชื้อเกิดขึ้นใหม่ และเชื้อโรคมีการพัฒนาตัวเองมากขึ้น อาจทำให้วัคซีนที่ใช้มาแต่เดิมได้ผลไม่ดีนัก ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีแผนที่จะสนับสนุนให้องค์การเภสัชกรรม สร้างโรงงานผลิตวัคซีนเพิ่ม รวมทั้งจะจัดตั้งหน่วยงานกลางที่จะดูแลการผลิตวัคซีนภายในประเทศ โดยเฉพาะการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เพื่อฉีดป้องกันโรคตามฤดูกาล ในกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งเดิมใช้ปีละ 3 แสนโดส จะเพิ่มปริมาณการใช้อีกว่า 7 เท่าตัว ในประเทศไทยมีหน่วยงานที่ผลิตวัคซีนใช้ในคน 3 แห่ง ได้แก่ องค์การเภสัชกรรม สถานเสาวภา สภากาชาดไทย และองค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด สามารถผลิตวัคซีนมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท และนำเข้าวัคซีนกว่า 1,000 ล้านบาท **************************************** 4 เมษายน 2550


   
   


View 11    04/04/2550   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ