![](http://pr.moph.go.th/assets/userfiles/content/images/Re2(20).jpg)
นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ถุงยางอนามัย จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ต้องมีใบอนุญาตหรือใบรับแจ้งรายละเอียดในการผลิตหรือนำเข้า ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2556 โดยถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติต้องมีมาตรฐานและข้อกำหนดตาม มอก. 625-2559, ISO 4074:2015 และถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางสังเคราะห์ต้องมีมาตรฐานและข้อกำหนดตาม ISO 23409:2011 ซึ่งต้องมีการตรวจสอบคุณภาพทุกรุ่นก่อนวางจำหน่ายในท้องตลาด และหากเป็นถุงยางอนามัยที่มีกรรมวิธีการผลิตใหม่ ต้องมีการทดสอบคุณภาพ โดยห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หากพบว่าถุงยางอนามัยรุ่นใดไม่เข้ามาตรฐาน ผู้ผลิตและผู้นำเข้าจะไม่สามารถวางจำหน่ายได้
ปัจจุบันถุงยางอนามัยมีความหลากหลายมากขึ้น เช่น มีความบาง มีหลายสี หลายกลิ่น และหลายพื้นผิว เพื่อตอบสนอง ความต้องการและความพึงพอใจของผู้ใช้ ซึ่งถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม และสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เช่น โรคซิฟิลิส โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคแผลริมอ่อน โรคกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง และโรคเริม เป็นต้น
![](http://pr.moph.go.th/assets/userfiles/content/images/Re4(23).jpg)
![](http://pr.moph.go.th/assets/userfiles/content/images/Re3(21).jpg)
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ เป็นหน่วยงานมีหน้าที่รับผิดชอบเป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านรังสีและเครื่องมือแพทย์ของประเทศ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ได้ดำเนินการตรวจวิเคราะห์ถุงยางอนามัยทางห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน มอก.625-2559, ISO 4074:2015 และ ISO 23409:2011 จำนวนทั้งสิ้น 71 ตัวอย่าง จำแนกเป็นตัวอย่างก่อนได้รับอนุญาต เพื่อขึ้นทะเบียน จำนวน 46 ตัวอย่าง พบเข้ามาตรฐานทั้งหมด (ร้อยละ 100) และตัวอย่างหลังจำหน่าย จำนวน 25 ตัวอย่าง พบเข้ามาตรฐานทั้งหมด (ร้อยละ 100) อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ถุงยางอนามัยมีคุณภาพมาตรฐาน ผู้ผลิตควรเข้าร่วมการตรวจประเมินตามข้อกำหนด GMP รวมถึงขอการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017
นายแพทย์ยงยศ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับร้านค้าและผู้บริโภคควรใส่ใจในการเก็บรักษาถุงยางอนามัยอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุ โดยเก็บถุงยางอนามัยไว้ในที่แห้ง ไม่ให้ถูกแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์ ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะทำให้ฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งเกิดจากการนั่งทับ เลือกซื้อถุงยางอนามัยที่มีเลขใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ซึ่งรับรองจาก อย. ควรเลือกให้ขนาดพอดี ไม่หลวม หรือคับแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้ฉีกขาดง่าย หรือหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ไม่ควรซื้อถุงยางอนามัยมาเก็บไว้นานๆ อาจทำให้เสื่อมสภาพได้ และสังเกตดูวันหมดอายุก่อนซื้อ
นอกจากนี้ การเลือกใช้สารหล่อลื่นก็มีผลต่อคุณภาพของถุงยางอนามัยเช่นกัน โดยทั่วไปกระบวนการผลิตถุงยางอนามัย จะมีการเติมสารหล่อลื่นอยู่แล้ว คือ ซิลิโคน ออยล์ หากต้องการใช้สารหล่อลื่นเพิ่มเติมควรเลือกใช้ เช่น เค-วาย เจลลี่, คิว-ซี เจลลี่, ดูราเจลหรือกลีเซอรีน ซึ่งเป็นสารหล่อลื่นที่ละลายน้ำ ไม่ทำลายคุณภาพของเนื้อยาง และการเติมปริมาณสารหล่อลื่นในถุงยางอนามัยจะขึ้นอยู่กับผู้ผลิตเป็นผู้กำหนด ส่วนมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้มีปริมาณสารหล่อลื่นในถุงยางอนามัยอยู่ในช่วง 400-600 มิลลิกรัม ดังนั้น ไม่ควรใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันพืชหรือน้ำมันแร่ เช่น เบบี้ออยล์, น้ำมันทาผิว,ปิโตรเลียม เจลลี, น้ำมันปรุงอาหาร และน้ำมันชนิดอื่นๆ เนื่องจากจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพและแตกขาดได้
นายแพทย์ยงยศ ฝากทิ้งท้ายว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีพิพิธภัณฑ์ถุงยางอนามัย ซึ่งจัดตั้งเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้นอกตำรา สร้างความสำคัญด้านการป้องกันตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และมีการจัดแสดงถุงยางอนามัยในยุคแรกของประเทศไทย ยี่ห้อและแบบต่างๆ ทั้งที่จำหน่ายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยจะเปิดให้นักเรียน นักศึกษา หรือผู้สนใจ เข้าชมฟรี สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทรศัพท์ 0 2951 0000 ต่อ 99954, 99955 เปิดเข้าชมวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-16.00 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันนักขัตฤกษ์
![](http://pr.moph.go.th/assets/userfiles/content/images/Re5(22).jpg)
![](http://pr.moph.go.th/assets/userfiles/content/images/Re8(8).jpg)
![](http://pr.moph.go.th/assets/userfiles/content/images/Re7(11).jpg)
View 39
14/02/2568
ข่าวในรั้ว สธ.
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์