ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยสถิติโรคพิษสุนัขบ้าขณะนี้พบได้ตลอดปี ในปี 2549 นี้พบผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ 21 ราย ใน 15 จังหวัด ชี้หน้าหนาวเป็นฤดูกาลแพร่เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า อย่าวางใจแม้ว่าลูกสุนัข ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรคชี้คนไทยมีสารพัดความเชื่อผิดๆ โรคพิษสุนัขบ้า เช่นเชื่อกินตับสุนัขที่กัด การใช้ยาฉุนยัดแผล ป้องกัน ยืนยันไม่สามารถป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้ นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) หรือที่เรียกว่าโรคหมาบ้า โรคหมาหว้อ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส หลังถูกกัดแล้ว เชื้อจะเดินทางไปตามเส้นประสาท เข้าสู่สมอง ทำให้มีอาการทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เมื่อเกิดอาการแล้ว จะไม่สามารถรักษาให้หายได้ โอกาสตายมี 100 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2549 นี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงขณะนี้ ทั่วประเทศพบผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า 21 ราย ใน 15 จังหวัดได้แก่กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี สมุทรสงคราม สระบุรี นครศรีธรรมราช นครปฐม บุรีรัมย์ จันทบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี สงขลา สมุทรปราการ เชียงใหม่ สระแก้ว และระยอง โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าในปีนี้ใกล้เคียงกับปี 2548 ซึ่งพบทั้งหมด 20 ราย ส่วนใหญ่ถูกลูกสุนัขวัย 3 เดือนกัด นายแพทย์ปราชญ์กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้เรามักเข้าใจว่าโรคพิษสุนัขบ้ามักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน เพราะสภาพอากาศร้อนทำให้สุนัขเป็นบ้าได้ง่าย ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น การแพร่กระจายของโรคพิษสุนัขบ้ามักเกิดในฤดูหนาว แล้วนำไปสู่การระบาดในฤดูร้อน เนื่องจากหน้าหนาวในประเทศไทยซึ่งเริ่มประมาณเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นฤดูผสมพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดที่พบบ่อย คือ สุนัข สุนัขตัวผู้จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงสุนัขตัวเมียและปกป้องอาณาเขต หากตัวใดเป็นโรคพิษสุนัขบ้า เชื้อจะถ่ายทอดทางน้ำลายไปสู่ตัวอื่น และนำเชื้อมาสู่คนอีกต่อหนึ่งหลังจากที่มีอาการของโรคแล้ว โดยผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนมากจะแสดงอาการป่วยประมาณ 7วัน ถึง 2 ปีก็ได้ฉะนั้นขอให้ประชาชน อย่าชะล่าใจหลังถูกสุนัขกัด ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ทางด้านนายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการประเมินสภาพปัญหาของโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย พบว่าสัตว์ที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อมากที่สุดร้อยละ 96 คือสุนัข รองลงมาเป็นแมวพบได้ร้อยละ 3 โดยเฉพาะลูกสุนัขทุกอายุ มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นเดียวกับสุนัขโต เพราะลูกสุนัขได้รับเชื้อมาจากแม่ที่มีเชื้อผ่านทางรก โดยคนทั่วไปมักมีความเชื่อว่าสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าจะมีอาการดุร้าย ตัวแข็ง หางตกเท่านั้น แท้จริงแล้วอาการของสุนัขที่เป็นโรคนี้มีทั้งแบบซึมและแบบดูร้าย แบบซึมสุนัขจะหลบซุกตัวในมุมมืด ถ้าถูกรบกวน อาจจะกัด ต่อมาจะเป็นอัมพาตแล้วตาย บางตัวอาจแสดงอาการคล้ายกระดูกหรือก้างติดคอ ทำให้เจ้าของเข้าใจผิด พยายามล้วงปากสุนัขเพื่อหาเศษกระดูก ทำให้ติดเชื้อสุนัขบ้าโดยไม่รู้ตัว นายแพทย์ธวัชกล่าวต่อว่า ขณะนี้จำนวนคนตายโรคพิษสุนัขบ้าน้อยลงเพราะรัฐบาลให้ความสนใจต่อการป้องกันและกำจัดโรคอย่างจริงจัง และคนมีความรู้มากขึ้น วัคซีนมีคุณภาพ มีความปลอดภัยมากขึ้น ราคาถูก อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งตายจากโรคนี้เพราะมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคนี้อย่างน้อย 8ประการ ได้แก่ 1. เชื่อว่าโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น 2.เชื่อว่าเมื่อถูกสุนัขกัด ต้องใช้รองเท้าตบแผล หรือใช้เกลือขี้ผึ้งบาล์มหรือยาฉุนยัดในแผล 3. หลังถูกกัดต้องรดน้ำมนต์จะช่วยรักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ 4.เมื่อถูกสุนัขกัด การฆ่าสุนัขให้ตายแล้วนำตับสุนัขมากิน คนก็จะไม่ป่วยเป็นโรคนี้ 5. เมื่อถูกสุนัขกัด การตัดหูตัดหางสุนัขจะช่วยให้สุนัขไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า 6. คนท้องไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า 7.โรคพิษสุนัขบ้าเป็นเฉพาะในสุนัขเท่านั้น 8.วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าฉีดรอบสะดือ 14 เข็ม หรือ 21 เข็ม ถ้าหยุดฉีดต้องเริ่มใหม่ เป็นต้น ความเชื่อเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่ถูกสุนัขที่มีเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้ากัด ไม่ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลและดีที่สุด ทำให้โอกาสตายมี 100 เปอร์เซ็นต์ โดยขณะนี้วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้ามีความปลอดภัยสูง ฉีดเพียง 5 เข็ม และไม่ต้องฉีดทุกวัน คนท้องที่ถูกสุนัขกัดก็ฉีดได้ ก็จะไม่เสียชีวิตจากโรคนี้ เพราะการฉีดวัคซีนทันทีที่สัมผัสกับโรค จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรค ตรงกันข้ามหากไม่ฉีดวัคซีนป้องกัน เชื้อจะขึ้นไปทำลายสมอง แสดงอาการคลุ้มคลั่ง และเสียชีวิตในที่สุด สำหรับการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เจ้าของหรือผู้ครอบครองสุนัข ควรนำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โดยเริ่มฉีดครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุตั้งแต่ 2 เดือน แล้วฉีดกระตุ้นอีกครั้งใน 2 - 3 เดือนต่อมาและฉีดซ้ำทุกปี หรือนำสุนัขเพศเมียไปฉีดยาคุมกำเนิด ถ้าไม่ต้องการให้มีลูก และหลีกเลี่ยงไม่ให้สัตว์ กัด เลีย หรือโดนน้ำลายสัตว์ โดยเฉพาะเด็กที่ชอบเล่นกับสุนัข หากโดนกัด ให้รีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่หลาย ๆ ครั้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น ทิงเจอร์ไอโอดีน แอลกอฮอล์ เป็นต้น แล้วรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด นายแพทย์ธวัชกล่าว ************************************************ 10 ธันวาคม 2549


   
   


View 14    10/12/2549   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ