รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยผลสำเร็จโครงการความร่วมมือสธ.-กทม.-สหรัฐ พัฒนาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ 6 ปีที่ผ่านมา ทั้งในส่วนกลาง กทม. เชียงราย อุบลราชธานี และภูเก็ต บรรลุผลดำเนินการแล้วกว่า 70 โครงการ บ่ายวันนี้ (11 กันยายน 2550) ที่อาคารอิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปิดการประชุมเสนอผลงานวิชาการด้านการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และศูนย์ป้องกันควบคุมโรคสหรัฐหรือ Global AIDS Program (GAP) จัดโดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ และศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐด้านสาธารณสุข นายแพทย์วัลลภกล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาโรคเอดส์ในประเทศไทย มีแนวโน้มจะหวนกลับมาระบาดอีก แม้ว่าที่ผ่านมาจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จาก 150,000 รายในปี 2530 เหลือประมาณปีละ 20,000 รายในปัจจุบัน แต่ที่น่าห่วงคือในกลุ่มวัยรุ่น หญิงให้บริการทางเพศแอบแฝง และชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ที่อาจทำให้ปัญหากลับมาแพร่ระบาดอีก นอกจากนี้ ผลพวงของการมีผู้ติดเชื้อเอดส์มากขึ้น ทำให้วัณโรคในประเทศไทยแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น กลายเป็น 1 ใน 22 ประเทศที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้สำเร็จ จากการเฝ้าระวังการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มวัยรุ่น โดยศึกษาเยาวชนวัยรุ่นไทยที่กำลังศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ใน 24 จังหวัดทั่วประเทศ พบมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นกว่าช่วง 10 ปีประมาณ 2 เท่าตัว โดยเด็กชายผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้วจากร้อยละ 10 ในพ.ศ. 2539 เป็นร้อยละ 21 ในปี 2549 ส่วนเด็กหญิงเพิ่มจากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 12 ในช่วงเดียวกัน และการเพศสัมพันธ์ครั้งแรกใส่ถุงยางอนามัยเฉลี่ยร้อยละ 46 เท่านั้น ทำให้เกิดโรคติดเชื้อระบบสืบพันธุ์ ที่เห็นชัดที่สุดคือ กามโรค หนองใน พบในกลุ่มนักเรียนนักศึกษาร้อยละ 13 ของผู้ป่วยทั้งหมด และปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ นำไปสู่ปัญหาการทำแท้ง และอาจเสียชีวิตในที่สุด ในการป้องกันควบคุมและแก้ไขปัญหาเอดส์ในปีนี้และปี 2551 กระทรวงสาธารณสุขจะให้ความสำคัญในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน โดยจะจับมือกับกระทรวงศึกษาธิการร่วมกันรณรงค์ป้องกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง และผลักดันให้เกิดยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา เน้นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้วัยรุ่นและเยาวชนเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเพศที่ไม่ถูกต้อง ให้มีทักษะชีวิตที่ดี ไม่กลายเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป และกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มหญิง-ชายขายบริการไม่ว่าทางตรง ทางอ้อม กลุ่มรักร่วมเพศ รณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และให้ถือว่าโรคเอดส์เป็นปัญหาของทุกคนและชุมชน ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ไข นายแพทย์วัลลภกล่าวต่อว่า สำหรับโครงการแก็บ (GAP) นี้ นับว่ามีความสำคัญมากในการพัฒนาวิชาการ เพื่อนำไปขยายผลใช้ในภาคปฏิบัติ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้รับความร่วมมือจากศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกาหรือ ซีดีซี ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านนี้ สนับสนุนงบประมาณปีละ 130 ล้านบาท ผ่านศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐด้านสาธารณสุข เริ่มตั้งแต่ปี 2544 ในการพัฒนาวิชาการ ทั้งการป้องกัน การรักษา และเฝ้าระวังโรคเอดส์ใหม่ ๆ ในส่วนกลางและ 4 จังหวัดเครือข่าย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงราย อุบลราชธานี และภูเก็ต จัดทำโครงการกว่า 70 โครงการ เช่น การดูแลเด็กที่ติดเชื้อเอดส์ การป้องกันเอดส์ในกลุ่มชายรักชาย และกลุ่มฉีดยาเสพติดเข้าเส้น ซึ่งจังหวัดต่าง ๆ สามารถนำแนวทางไปปรับใช้ได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาในการเรียนรู้วิชาการอีก ด้านนายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ประธานคณะกรรมการบริหารโครงการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ของกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้ GAP กล่าวว่า ผลสำเร็จจากการศึกษาวิชาการในครั้งนี้ โดยเฉพาะพัฒนาคุณภาพบริการ การดูแลผู้ป่วยเอดส์และผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ติดยาการฉีดยาเสพติด จากเพศสัมพันธ์ และจากแม่สู่ลูก ในโรงพยาบาลระบบเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว ซึ่งยังไม่มีการดำเนินการที่ใดมาก่อน ประกอบด้วย การกินยาต้านไวรัสเอดส์ การให้คำปรึกษา การค้นหาโรควัณโรค การตรวจระดับภูมิคุ้มกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลไปใช้ในโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร 9 แห่ง ได้แก่ ในวิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ โรงพยาบาลลาดกระบัง โรงพยาบาลสิรินธร โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลหนองจอก และโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ การพัฒนาระบบการให้ยาต้านไวรัสเอดส์ในเด็กติดเชื้อเอชไอวีจากแม่ ศึกษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงราย มีเด็กติดเชื้อทั้งหมด 355 ราย โดยเตรียมความพร้อมของเด็กและผู้ปกครอง มีกิจกรรมเยี่ยมบ้าน ทำให้เด็กมีวินัยกินยามากกว่าร้อยละ 95 มีปัญหาการดื้อยาน้อยมาก เตรียมขยายผลไปสู่โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่ง เพื่อให้เด็กรับยาที่โรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้านได้ โครงการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ในกลุ่มชายรักชายโดยใช้ระบบอาสาสมัคร ซึ่งเป็นกลุ่มชายรักชายด้วยกัน เนื่องจากคนกลุ่มนี้เปิดตัวต่อสังคมน้อย โดยแจกถุงยางอนามัย สารหล่อลื่น และจัดคลินิกพิเศษให้บริการตรวจรักษา ที่โรงพยาบาลป่าตอง จ.ภูเก็ต เป็นแห่งแรกของประเทศ ซึ่งจะทำให้กลุ่มชายรักชายปลอดภัยจากโรคเอดส์มากขึ้น และในปีนี้ได้เริ่มดำเนินงานเพิ่มในจังหวัดอุดรธานี และขอนแก่น ********************************* 11 กันยายน 2550


   
   


View 13    11/09/2550   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ