กระทรวงสาธารณสุข ให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัดและโรงพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส โคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012 หรือเมอร์ส-โควี อย่างต่อเนื่อง  เน้นในกลุ่มที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือมีไข้สูง ไอ ถ่ายเหลว อาเจียน และมีประวัติเดินทางมาจากประเทศตะวันออกกลาง สถานการณ์เฉพาะในเดือนพฤษภาคม 2558   องค์การอนามัยโลกรายงานพบผู้ป่วย 29 ราย เสียชีวิต 4 ราย ใน 5 ประเทศส่วนไทยผลการเฝ้าระวังรอบ 3 ปี  ยังไม่พบผู้ป่วยโรคนี้  

          จากกรณีกระทรวงสาธารณสุขประเทศเกาหลีใต้  พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ 2012 หรือเมอร์ส –โควี  3 รายแรก เป็นชาย อายุ 68 ปี และหญิง ซึ่งเป็นภรรยาอายุ 76 ปี ดูแลสามีขณะป่วย โดยสามีป่วยมีไข้สูง และไอ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2558  หลังมีประวัติเดินทางกลับจากประเทศในแถบตะวันออกกลาง เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 58  ผลการตรวจยืนยันพบติดเชื้อโคโรน่าไวรัส  2012  ส่วนรายที่ 3 เป็นผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล ร่วมห้องกับผู้ป่วยรายแรก   ทั้งหมดขณะนี้รักษาตัวในห้องแยกโรคในโรงพยาบาล ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิต  นอกจากนี้ มีรายงานผู้ป่วยเพิ่มเติมจากสื่อมวลชนในต่างประเทศว่า ขณะนี้ จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นไปถึง 10 ราย ทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับผู้ป่วยรายแรก บางรายมีการเดินทางต่อไปยังประเทศจีน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกและทางการเกาหลีใต้ กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายละเอียด

         ในส่วนประเทศไทย  นายแพทย์สุรเชษฐ์  สถิตนิรามัย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า  กระทรวงสาธารณสุขได้เฝ้าระวังโรคเมอร์ส–โควี หลังจากเริ่มมีรายงานพบผู้ป่วยในแถบตะวันออกกลางตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา  แม้ว่าจนถึงขณะนี้จะยังไม่พบผู้ป่วยในประเทศไทยก็ตาม จะยังคงมาตรการอย่างต่อเนื่อง 3 เรื่องคือ 1.ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังผู้ป่วย เน้นกลุ่มที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือมีไข้สูง ไอ ถ่ายเหลว อาเจียน และมีประวัติเดินทางกลับจากประเทศตะวันออกกลาง หรือเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศที่พบผู้ป่วย หากพบผู้ป่วยที่มีอาการที่กล่าวมา ขอให้จัดไว้อยู่ในข่ายสงสัย และปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันควบคุมการแพร่กระจายเชื้อในสถานพยาบาลในระดับสูงสุดเช่นเดียวกับโรคซาร์ส

 2.ให้กรมควบคุมโรควางแผนการดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปร่วมพิธีฮัจญ์ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประจำปี 2558 จำนวน 10,400 คน  ซึ่งจะเริ่มเดินทางช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2558  ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรวจสุขภาพเตรียมความพร้อมสุขภาพก่อนเดินทาง  ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขประเทศซาอุดิอาระเบียกำหนด คือวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นทุกคน    จัดระบบติดตามเฝ้าระวังสุขภาพหลังเดินทางกลับ และ 3. จัดทำคำแนะนำในการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคแก่ประชาชนทั่วไปที่จะเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงด้วย   

          ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ 2012  เป็น สาเหตุทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน  มีอาการรุนแรงคล้ายโรคซาร์ส เชื้อจะลุกลามเข้าปอดอย่างรวดเร็ว ติดต่อกันจากการไอจาม  องค์การอนามัยโลกรายงานสถานการณ์โรคในปี 2558   ในเดือนพฤษภาคม มีผู้ป่วย 29 ราย เสียชีวิต  4 ราย  ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรต กาตาร์ อิหร่าน และเกาหลีใต้ โดย ผู้ป่วย 3 รายล่าสุดพบที่ประเทศเกาหลีใต้   รวมยอดสะสมตั้งแต่พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2558   พบผู้ป่วยยืนยันรวม  1,139 ราย ใน 24 ประเทศ  เสียชีวิต  431 ราย  และขณะนี้องค์การอนามัยโลกยังไม่มีข้อห้ามในการเดินทางไปยังประเทศที่พบผู้ป่วย

          นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า การระบาดของโรคติดเชื้อโคโรน่าไวรัส 2012 ที่ประเทศเกาหลีใต้ ยังคงเป็นการระบาดเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรายแรกคนเดียวกัน และทางการของประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งต้นทางคือเกาหลีใต้ และประเทศจีนที่พบผู้เดินทางเป็นผู้สัมผัสโรค ได้มีมาตรการเข้มงวดโดยการกักกันผู้สัมผัสโรค ดังนั้นโอกาสที่จะมาสู่ประเทศไทยจากกรณีเกาหลีใต้ดังกล่าว ยังมีน้อย อย่างไรก็ตาม ไทยเรายังคงมีความเสี่ยงจากผู้เดินทางไปมาระหว่างประเทศที่มีการระบาด ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง  และขอให้ประชาชนที่มีแผนการเดินทางไปประเทศตะวันออกกลาง  ปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้ยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง และล้างมือฟอกสบู่บ่อยๆ หลังสัมผัสสิ่งสาธารณะต่างๆ เช่นปุ่มลิฟท์ ราวบันไดเลื่อน ลูกบิดประตู    และหลีกเลี่ยงการเข้าไปสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งอูฐ  และให้หลีกเลี่ยงดื่มนมอูฐดิบ        

   หากมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดคือ ไข้สูง ไอ มีน้ำมูก ขอให้ใส่หน้ากากอนามัย และพักผ่อนอยู่ที่บ้าน  หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2 วันให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางไปต่างประเทศด้วย เพื่อผลในการดูแลรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว    โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่นโรคเบาหวาน ไตวาย โรคปอดเรื้อรัง และผู้ที่     มีภูมิต้านทานโรคต่ำ      ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอถึง 2 วัน เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง   ประชาชนโทรสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

                                                                                         *******************  มิถุนายน 2558

 



   
   


View 19    07/06/2558   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ