กระทรวงสาธารณสุข  ยกระดับการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ประสานความร่วมมือการท่าอากาศยานกำหนดจุดจอดเครื่องบินสำหรับเที่ยวบินที่มาจาก 4 พื้นที่ติดโรค ได้แก่ กินี เชียร์ล่าลีโอน ไลบีเรีย  และไนจีเรีย และติดตั้งเครื่องวัดไข้อัตโนมัติที่ด่านสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นด่านหลักในการเดินทางเข้าประเทศ พร้อมประสานทุกสายการบินแจ้งเตือนผู้โดยสารให้มาแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค  ผลการตรวจตั้งแต่ 8 มิถุนายน 2557 จนถึงวันนี้ ตรวจคัดกรองจำนวน 669 คน มากสุดคือกินี 374 คน ไนจีเรีย 207 คน ไลบีเรีย 53 คน และเชียร์ล่าลีโอน 35 คน ผ่านที่ด่านภูเก็ต 3 คน ดอนเมือง 2 คน ที่เหลือผ่านทางด่านสุวรรณภูมิ ยังไม่รายใดมีไข้

บ่ายวันนี้ (22 สิงหาคม2557) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค นำคณะสื่อมวลชนตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินงานตามมาตรการตรวจสอบ คัดกรอง ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ของด่านควบคุมโรคติดต่อ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีมาตรการรับมือโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา 2  มาตรการหลัก คือการตรวจสอบ คัดกรอง ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดที่จะเข้ามาในประเทศไทย และการเตรียมรับสถานการณ์ภายในประเทศ เตรียมพร้อมสถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งความพร้อมของห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า มาตรการตรวจสอบ คัดกรอง ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาด 4 ประเทศ ได้แก่  กินี เชียร์ล่าลีโอน ไลบีเรีย  และไนจีเรีย  ได้ดำเนินการทั้งด่านทางบก เรือ และอากาศ ที่กรมควบคุมโรคดำเนินการตรวจคัดกรองมีอยู่ 63 ด่าน สำหรับด่านทางอากาศดำเนินการที่ท่าอากาศยาน  5 แห่งคือสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่  ซึ่งทุกด่านจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจคัดกรอง วัดอุณหภูมิร่างกาย กรอกเอกสารสุขภาพของผู้เดินทาง ประวัติการเดินทาง  สถานที่พำนักในไทย เบอร์โทรศัพท์/อีเมล์ที่ติดต่อได้ รวมทั้งแจกข้อควรปฏิบัติด้านสุขภาพระหว่างพำนักในไทย โดยจะติดตามผู้เดินทางจนครบ 21 วัน ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 8 มิถุนายน 2557 เป็นต้นมา จนถึงวันนี้ ตรวจคัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยงรวม 669 คน โดยมาจากกินี 374 คน ไลบีเรีย 53 คน เชียร์ล่าลีโอน  35 คน และไนจีเรีย 207 คน โดยผ่านที่ด่านภูเก็ต 3 คน ดอนเมือง 2 คน ที่เหลือผ่านทางด่านสุวรรณภูมิ ยังไม่พบรายใดมีไข้

สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถือเป็นด่านหลักในการเดินทางเข้าประเทศของผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง แต่ละวันมีเที่ยวบินที่บินตรงจากพื้นที่เสี่ยง วันละ 2 เที่ยวบิน และเที่ยวบินที่แวะเปลี่ยนเครื่องอีก 6-7 เที่ยวบิน  กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ประสานร่วมมือกับทุกสายการบินในการประกาศให้ผู้โดยสารจากพื้นที่เสี่ยง ภายในสามสัปดาห์ ให้ไปรายงานตัวที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ (Health Control) รวมทั้งการท่าอากาศยานได้กำหนดจุดจอดเครื่องบินเฉพาะ เพื่อให้การตรวจคัดกรองด้านสุขภาพเป็นไปรวดเร็ว ครอบคลุม  และได้ยกระดับการตรวจคัดกรองให้มีความเข้มข้นและครอบคลุมมากขึ้น ในวันจันทร์ (18 สิงหาคม 2557) ที่ผ่านมาได้เพิ่มการติดตั้งเครื่องตรวจวัดไข้อัตโนมัติ (Thermoscan) ที่จุดจอดเฉพาะผู้โดยสารขาเข้าจากพื้นที่เสี่ยง เสริมกับการใช้เครื่องตรวจวัดไข้ด้วยมือ มีเจ้าหน้าที่ประจำวันละ 10 คน และจะติดเพิ่มอีก 2 เครื่อง ที่จุดเดิม 1 เครื่องและที่จุดแวะเปลี่ยนเครื่อง โดยผู้ที่ผ่านเครื่องตรวจวัดไข้อัตโนมัติที่มีไข้ จะถูกแยกไปตรวจวัดไข้ซ้ำ ก่อนจะนำเข้าสู่ระบบการสอบสวนโรค ควบคุมป้องกันโรคที่ได้กำหนดไว้

นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของสายการบินที่แวะเปลี่ยนเครื่อง (transit) ได้เพิ่มการเฝ้าระวังโรคตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก โดยสร้างความร่วมมือของเครือข่ายเช่น สายการบิน  การท่าอากาศยาน และด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ โดยมีกรมควบคุมโรคเป็นผู้ประสานงานหลักในเรื่องการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และประสานข้อมูล นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ช่วยดูแลและสอบถามผู้เดินทางว่ามาจากพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ เพื่อการติดตามผู้ป่วย ผู้สัมผัส และจะติดป้ายประกาศให้ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดให้รายงานตัวที่ด่านควบคุมโรค ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่ออันตราย พ.ศ.2523 ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกหน่วยงาน

ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง หากมีอาการเจ็บป่วย เช่น มีไข้  กระทรวงสาธารณสุขได้วางระบบร่วมกับการท่าอากาศยานและสายการบิน  เพื่อเตรียมรับตัวผู้ป่วย ตามระบบที่วางไว้  โดยจะมีรถพยาบาลมารับไปยังโรงพยาบาลที่เตรียมไว้คือสถาบันบำราศนราดูร  โรงพยาบาลราชวิถีและโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เพื่อเข้าสู่ระบบการสอบสวนโรค ควบคุม ป้องกันโรคที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งทางโรงพยาบาลได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับการดูแลรักษาผู้ป่วย ทั้งห้องแยก บุคลากรที่ดูแล และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ส่วนผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางมาจะเข้าระบบการเฝ้าระวัง 21 วันเช่นกัน 

นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค ได้ผลิตเอกสารข้อควรปฏิบัติด้านสุขภาพกรณีโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา 3 ภาษา คือไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส สำหรับแจกผู้เดินทางในทุกด่านแล้ว ประชาชนมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 โทรฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง

****************************** 22 สิงหาคม 2557

      



   
   


View 17    23/08/2557   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ