กระทรวงสาธารณสุข ย้ำเตือนประชาชนที่นิยมบริโภคเห็ดป่า ให้งดเก็บดอกตูม เนื่องจากเสี่ยงเป็นเห็ดพิษ เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีพิษหรือไม่มีพิษ ที่พบบ่อยและรุนแรงคือ เห็ดระโงกหิน พิษทนความร้อน ทำลายตับไต สมอง อาการเกิดหลังรับประทาน 3 ชั่วโมง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เพ้อ ซึม ชัก อาจเสียชีวิตใน 4-10 ชั่วโมง การทดสอบพิษแบบพื้นบ้านเช่น ต้มพร้อมช้อน เชื่อถือไม่ได้ รอบ 6 เดือนปีนี้ พบป่วยแล้วกว่า 200 ราย ล่าสุดเสียชีวิตที่เชียงใหม่ แนะการสังเกตเห็ดมีพิษ มักมีกลิ่นเอียน มีขนหรือหนามเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป
          นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงฤดูฝน จะมีเห็ดขึ้นตามธรรมชาติ ป่า เขา จำนวนมาก มีทั้งเห็ดที่รับประทานได้ เช่น เห็ดระโงก เห็ดโคน เห็ดเผาะ เห็ดตับเต่า เห็ดไข่ห่าน เห็ดตะไคร้ เป็นต้น และมีเห็ดพิษหรือที่เรียกว่า เห็ดเมา ที่ดอกมีลักษณะใกล้เคียงกับเห็ดที่รับประทานได้ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และเก็บมารับประทาน จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต พบได้ทุกปี ข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 57 - 23 มิ.ย. 57 พบผู้ป่วยจากการกินเห็ดพิษ 214 ราย จาก 40 จังหวัด เสียชีวิต 3 ราย คือที่พิษณุโลก 1 ราย ล่าสุดที่จังหวัดเชียงใหม่ 2 ราย ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รองลงมาคือรับจ้าง และนักเรียน กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ 25-54 ปี จึงได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เร่งให้ให้ความรู้ประชาชน ในการบริโภคเห็ดป่าขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างปลอดภัย

          ทางด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เห็ดพิษของไทย พิษมีทั้งไม่รุนแรง จนถึงรุนแรงทำให้เสียชีวิต แต่ที่ประชาชนบริโภคและเกิดปัญหาได้บ่อยพบว่าอยู่ใน 7 กลุ่มพิษ ประมาณ 12 ชนิด มีชื่อตามท้องถิ่นได้แก่ เห็ดระโงกหินหรือเห็ดระงาก เห็ดไข่ตายซาก เห็ดสมองวัว เห็ดหิ่งห้อย เห็ดน้ำหมึก หรือเห็ดถั่ว เห็ดเกร็ดดาว เห็ดขี้ควาย หรือบางแห่งเรียกว่าเห็ดโอสถลวงจิต เห็ดไข่หงส์ เห็ดแดงน้ำหมาก เห็ดกรวยเกล็ดทอง เห็ดไข่เน่า เห็ดหัวกรวดครีบเขียว เป็นต้น อาการเจ็บป่วยขึ้นอยู่กับชนิดของพิษเห็ด เห็ดที่มีพิษรุนแรงที่สุดและเป็นเหตุให้เสียชีวิตบ่อยที่สุดคือเห็ดระโงกหิน และเห็ดไข่ตายซาก จะมีสารพิษ 2 ชนิดคือ อะมาท็อกซินส์ (Amatoxins) และฟาโลท็อกซินส์ (Phallotoxins) ทำลายระบบทางเดินอาหาร ตับ ไต สมอง ระบบเลือด ระบบหายใจ ทำให้เสียชีวิตได้ใน 4-10 ชั่วโมง สารพิษในเห็ดทนความร้อนได้ดี ดังนั้นถึงแม้เห็ดจะสุกแล้ว แต่ความเป็นพิษก็ยังสูง จะมีอาการหลังรับประทานประมาณ 3 ชั่วโมง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย หัวใจเต้นเร็ว ปวดเกร็งในท้อง
          “มีข้อแนะนำให้ประชาชนระมัดระวังเป็นพิเศษ 2 ประการ คืออย่ารับประทานเห็ดพร้อมกับดื่มสุรา เนื่องจากเห็ดบางชนิดจะเกิดพิษทันที และเมื่อดื่มสุราไปด้วย ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะเป็นตัวนำทางให้พิษเห็ดแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้นอีก และอย่าบริโภคเห็ดป่าที่ดอกยังตูมๆ หรือเรียกว่าเห็ดอ่อน เนื่องจากจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นเห็ดพิษหรือไม่มีพิษ เพราะลักษณะดอกภายนอกจะเหมือนกัน ซึ่งจากการสอบสวนผู้ป่วยที่เมาเห็ดพิษ พบว่าส่วนใหญ่จะนิยมกินเห็ดดอกตูม เพราะรสชาติดีกว่าเห็ดบาน”นายแพทย์โสภณกล่าว
          นายแพทย์โสภณกล่าวต่อไปว่า เห็ดป่า เป็นอาหารที่มีคุณค่าเช่นโปรตีน หากจะให้ได้ทั้งคุณค่าอาหารและความปลอดภัย ขอแนะนำประชาชนยึดหลักดังนี้ 1.ควรรับประทานเฉพาะเห็ดที่แน่ใจและเพาะได้ทั่วไป อย่ารับประทานเห็ดที่สงสัย ไม่รู้จัก และไม่แน่ใจ เช่น เห็ดที่ขึ้นที่มูลสัตว์หรือใกล้มูลสัตว์ 2.ไม่ควรซื้อหาเห็ดป่าที่ไม่รู้จักมาปรุงอาหารกิน 3.ขอให้จดจำลักษณะเห็ดพิษที่สังเกตง่ายได้แก่ มีสีเข้มจัด เช่น แดง ส้ม ดำ หรือมีสีฉูดฉาด มี
แผ่นหรือเกล็ดขรุขระบนหมวกเห็ด มีขนหรือหนามเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป และมีกลิ่นเหม็นเอียน และ4.การเก็บเห็ดที่มีรอยแมลงกัดกิน ไม่ได้แสดงว่าเห็ดนั้นปลอดภัย เห็ดพิษที่พบบ่อยที่สุดได้แก่เห็ดระโงกพิษ บางแห่งเรียกว่าเห็ดระโงกหิน เห็ดระงาก หรือเห็ดสะงาก เห็ดไข่ตายซาก เห็ดชนิดนี้รูปร่างจะคล้ายเห็ดระโงกที่รับประทานได้ แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญคือ เห็ดระโงกพิษ จะมีก้านสูง กลางดอกหมวกจะนูนเล็กน้อย มีกลิ่นเอียนและค่อนข้างแรง ช่วงที่เสี่ยงอันตรายที่สุดคือช่วงที่เห็ดยังดอกตูมหรือที่เรียกว่ากำลังเป็นไข่ ซึ่งชาวบ้านนิยมบริโภค ในพื้นที่ที่เคยมีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตจากเห็ดพิษ ขอให้ประชาชนตระหนักว่ามีเห็ดพิษชนิดรุนแรงอยู่ในพื้นที่ เพราะในช่วงฤดูฝนเห็ดสามารถเจริญเติบโตซ้ำได้ทุกๆ ปี
          นายแพทย์โสภณกล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ใช้ในการทดสอบเห็ดพิษหลายวิธีเช่น การต้มกับข้าวสาร หรือต้มกับช้อนเงิน แล้วเปลี่ยนสี ไม่สามารถนํามาใช้กับเห็ดพิษได้ โดยเฉพาะกลุ่มเห็ดระโงกพิษ ทั้งนี้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่รับประทานเห็ดพิษ หลักการสำคัญที่สุด จะต้องทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เอาเศษอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารออกมาให้มากที่สุด เพื่อลดการแพร่กระจายพิษ ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือแกง 3 ช้อนชา แล้วล้วงคอเพื่อให้อาเจียนโดยเร็วที่สุด แต่วิธีนี้ห้ามใช้กับเด็กต่ำกว่า 5 ขวบ จากนั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาล พร้อมกับนำตัวอย่างเห็ดพิษ หากยังเหลืออยู่ ไปให้แพทย์ดูด้วย ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักโรคติดต่อทั่วไป โทร 0-2590 3183 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
                                                                  ************************************ 1  กรกฎาคม 2557


   
   


View 12    01/07/2557   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ