ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนอันตรายจากปัญหาฟันผุและโรคมือเท้าปากในเด็กเล็ก เผยฟันผุเป็นที่สะสมของเชื้อโรคอาจทำให้เด็กป่วยบ่อย หากไม่รีบรักษา เชื้ออาจลุกลามลงไปที่ลิ้นหัวใจและปอด มีอันตรายถึงชีวิต ส่วนโรคมือเท้าปากอาจทำให้เด็กขาดสารอาหาร พัฒนาการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ย้ำให้ผู้ปกครองดูแลสุขอนามัยของเด็กให้สะอาดอยู่เสมอ ล้างมือและทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้บ่อยๆ หากลูกหลานมีฟันผุต้องรีบไปพบทันตแพทย์
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงนี้เป็นช่วงคาบต่อของเทศกาลต่างๆ ทั้งวันปีใหม่ วันเด็ก และวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึง ประชาชนจะมีการส่งมอบความปรารถนาดีให้กันด้วยขนมกรุบกรอบหรือขนมหวานต่างๆมากมาย เด็กๆจะมีขนมหรือลูกอมเก็บไว้กินเป็นเวลานาน และเมื่อกินขนมหวานมากๆ หรือกินจุบจิบบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดปัญหาฟันผุตามมา ซึ่งเมื่อลูกหลานมีฟันผุ ผู้ปกครองบางคนอาจคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่ความจริงนั้น การมีฟันผุเพียง 1 ซี่ ก็ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ด้านร่างกายคือ ปวดฟัน มีกลิ่นปาก และด้านจิตใจคือ เมื่อปวดฟันก็จะทำให้เด็กหงุดหงิดไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำกิจกรรมใดๆ หากฟันผุจนถึงประสาทฟันจะทำให้ปวดฟันมากจนรับประทานอาหารไม่ได้ ร่างกายจะขาดสารอาหาร หากฟันผุจนเป็นหนองในช่องปากหรือรากฟัน ก็จะทำให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมาไม่แข็งแรง โดยผลสำรวจล่าสุดพบว่าในเด็กเล็กอายุ 3 ปีมีปัญหาฟันน้ำนมผุร้อยละ 60 ส่วนเด็กอายุ 5 ปีมีปัญหาร้อยละ 80
“สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดจากฟันผุ คือ หากเชื้อโรคจากหนองที่อยู่ในฟันผุเข้าสู่กระแสเลือด โดยผ่านทางเส้นเลือดฝอยในโพรงประสาทฟัน เชื้อจะสามารถแพร่กระจายไปได้ทั่วร่างกาย ทำให้ติดเชื้อที่อวัยวะอื่นๆ ได้ด้วย ที่พบบ่อยที่สุดคือ การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ เป็นฝีในปอด หากไม่ได้รับการรักษาหรือมาพบแพทย์ล่าช้า อาจมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เด็กป่วยบ่อยจากไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ดังนั้นปัญหาฟันผุจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ การป้องกันฟันผุที่ดีที่สุดคือ รักษาความสะอาดปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันด้วยยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์วันละ 2ครั้งคือ ทุกเช้าและก่อนเข้านอน หรือทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร ดูแลให้เด็กๆกินอาหารเป็นมื้อๆไม่กินจุบจิบ ไม่กินลูกอมหรือขนมหวาน ให้กินผลไม้แทนขนม และหากเป็นเด็กโตก็สามารถใช้ไหมขัดฟันหลังอาหารเหมือนผู้ใหญ่ได้” นายแพทย์ณรงค์กล่าว
นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า อีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงในกลุ่มเด็กคือ โรคมือเท้าปาก เพราะถึงแม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะควบคุมการระบาดได้แล้ว แต่ยังเป็นโรคที่ต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโรคมือเท้าปากเป็นปัญหาของหลายประเทศในอาเซียน ซึ่งในปี 2555 สำนักระบาดวิทยารายงานว่า ทั่วประเทศมีผู้ป่วยโรคมือเท้าปากจำนวน 31,378 ราย เสียชีวิต 2 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 87 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และเชื้อของโรคมือเท้าปาก เป็นไวรัสที่อยู่ในลำไส้ แพร่ติดต่อคนอื่นทางอุจจาระ เข้าสู่ร่างกายโดยติดไปกับมือและหยิบจับอาหารหรือน้ำดื่ม และมีความเสี่ยงเกิดการระบาดตลอดเวลา หากเชื้ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเย็นหรือชื้นจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นเดือน โดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยแล้งหลายจังหวัด ที่มีน้ำใช้จำกัด ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ร่วมมือกับโรงเรียน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เฝ้าระวังดูแลความสะอาดโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงได้แก่ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล
ด้านนายแพทย์ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยากล่าวว่า เด็กที่ติดเชื้อโรคมือเท้าปาก จะมีไข้ 1-2 วัน จากนั้นจะมีตุ่มหรือแผลในปากคล้ายแผลร้อนใน อาจมีหลายแผล ส่วนใหญ่จะพบที่บริเวณคอหอยหรือใกล้ต่อมทอนซิล หากอาการรุนแรงจะลามมาที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม ทำให้เด็กเจ็บในปากและคอ ไม่ยอมดูดนม ไม่กินอาหาร ในรายที่มีอาการรุนแรงจะพบว่ามีไข้สูง และอาจมีอาการชัก แขนขาอ่อนแรง ไม่รู้สึกตัวได้ การรักษาโรคมือเท้าปากในขณะนี้ยังไม่มีการรักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะรักษาตามอาการเช่น หากมีไข้ก็ให้ยาลดไข้และเช็ดตัวบ่อยๆด้วยน้ำธรรมดา นอนพักมากๆ รับประทานอาหารอ่อนๆเช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม กรณีสงสัยว่าอาจมีอาการรุนแรง ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
นายแพทย์ภาสกรกล่าวต่อว่า เชื้อไวรัสที่ก่อโรคมือเท้าปากจะถูกขับออกมาจากผู้ป่วยทางลำไส้โดยการถ่ายอุจจาระ อาเจียน หรือน้ำลาย วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ห่างไกลโรคนี้ได้คือ รักษาสุขอนามัยให้สะอาดอยู่เสมอ ผู้ดูแลเด็ก ผู้ประกอบอาหารและเด็กๆทุกคน ต้องล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งหลังเข้าห้องส้วม และก่อนเตรียมอาหาร หรือก่อนรับประทานอาหารทุกชนิด รวมทั้งเมื่อสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็ก หมั่นตรวจดูแผลในช่องปากของลูกหลาน หากมีแผลหรือตุ่มให้รีบไปพบแพทย์ หากมีเด็กป่วยให้แยกเด็กออกจากกลุ่มเด็กปกติ และแยกของใช้ส่วนตัวเช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม หลอดดูด ทำความสะอาดพื้นห้องหรือพื้นที่อื่นๆที่เด็กสัมผัสบ่อยๆด้วยน้ำผสมผงซักฟอก แล้วตามด้วยน้ำผสมน้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของคลอรีนเช่น ไฮเตอร์ แล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด เพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามที่ศูนย์บริการข้อมูลฮ็อตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทรฟรีหมายเลข 1422 หรือศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทร 02-590 3333 ซึ่งจะให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงรวม 30 คู่สาย
*************************************** 13 มกราคม 2556