รัฐมนตรีว่ากรระทรวงสาธารณสุข เผยนโยบายเมดดิคัลฮับของไทย ขณะนี้น่าจะเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย     ชาวต่างชาติบินเข้ามาใช้บริการ 2.5 ล้านคน มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 16 ตั้งเป้าจะเพิ่มอีก 2 เท่าตัวภายใน 5 ปี    ขณะนี้ประเทศกาตาร์ สนใจจะลงทุนร่วมไทยด้วย   

ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้การต้อนรับนายอาหมัด โมฮัมเมด แอล-เซเยด ( H.E. Mr.Ahmad Mohammed Al-Sayed) กรรมการผู้จัดการและประธานบริหารกาตาร์ โฮลดิ้ง แอลแอลซี ( Managing Director and Chife Executive Officer, Qatar Holding LLC )และคณะ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความร่วมมือด้านสาธารณสุข เพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนในภาคบริการเชิงสุขภาพของไทย โดยเฉพาะด้านโรงพยาบาล
นายแพทย์ประดิษฐ กล่าวว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้บรรจุให้นโยบายเมดดิคัลฮับ (Medical Hub) อยู่ภายในนโยบายรัฐบาลด้านสังคมและคุณภาพชีวิต เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศผลิตภัณฑ์และการบริการด้านสุขภาพ การรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย   โดยเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2556 ที่จะสนับสนุนนโยบายการเสริมสร้างรายได้ที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพของประเทศ ทั้งด้านยาสมุนไพรไทย อาหาร สินค้าพื้นเมือง รวมถึงการเป็นศูนย์กลางสุขภาพโดยไม่เกิดผลกระทบลบต่อระบบบริการภาครัฐ
  
นายแพทย์ประดิษฐกล่าวต่อว่า ทางประเทศกาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ในตะวันออกกลาง สนใจและต้องการที่จะมาพัฒนาธุรกิจร่วมกับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจด้านบริการสุขภาพ เนื่องจากไทยมีศักยภาพทางด้านนี้สูงมาก และน่าจะเป็นอันดับ 1 ในทวีปเอเชียในขณะนี้    ประเทศกาตาร์ให้ความสนใจอยากจะมาลงทุนธุรกิจด้านนี้กับประเทศไทย โดยจะมีจัดทำรายละเอียดความร่วมมือ และติดตามผลในช่วง 2-3 เดือนต่อไป ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารขับเคลื่อนนโยบายเมดดิคัลฮับของประเทศ   ได้ประสานความร่วมมือระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนที่สนใจ หรือต้องการรับการสนับสนุนเรื่องของทุนในการพัฒนาให้โรงพยาบาลมีคุณภาพ สามารถให้บริการชาวต่างชาติได้มากขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป การลงทุนดังกล่าวขึ้นอยู่กับทิศทางการวางแผนให้การบริการสุขภาพ 
“ ขณะนี้ มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามารับบริการสุขภาพในประเทศไทยประมาณ 2.5 ล้านคน มีอัตราเติบโต 16 เปอร์เซ็นต์ และภายใน 5 ปีนี้ มีนโยบายจะขยายอัตราการเติบโตให้ได้ 2 เท่าตัวของปัจจุบัน” นายแพทย์ประดิษฐกล่าว  
  
ทางด้าน นายแพทย์ ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีโรงพยาบาลเอกชนที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานนานาชาติ แบบเจซีไอ ( JCI : Joint commission International) รวม 23 แห่ง โดยโรงพยาบาลเหล่านี้จะมีบริการเฉพาะสำหรับชาวต่างชาติได้แก่ ล่าม หอผู้ป่วยเฉพาะ บริการอาหาร บุคลากร บริการต่ออายุวีซ่า หรือบริการตามหลักศาสนา และยังมีโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการจัดบริการผู้ป่วยต่างชาติอีกประมาณ 15 แห่ง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำเวปไซต์ด้านเมดดิคัลฮับคือ www.thailand medicalhub.net    สามารถให้โรงพยาบาลเอกชนเชื่อมโยงฐานข้อมูลสุขภาพและบริการได้ และสามารถสืบค้นข้อมูลได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว (One Stop Service Center) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อให้บริการชาวต่างชาติแบบครบวงจร ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะนี้ธุรกิจสปาไทยและนวดแผนไทยกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง ส่วนใหญ่ให้บริการตามโรงแรมขนาดใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพัก และมีแนวโน้มเปิดบริการในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้หลากหลายยิ่งขึ้น
************************* 10 พฤศจิกายน 2555


   
   


View 11    11/11/2555   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ