เช้าวันนี้ (25 สิงหาคม 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดโครงการ “รัฐบาลพบประชาชน ทุน เพื่อคุณภาพชีวิต” ที่ศาลากลางหลังเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยทุกกระทรวงและทุกหน่วยงาน ร่วมจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคม 2555 เพื่อเผยแพร่ ข้อมูลและรายละเอียดของโครงการ และกองทุนต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล รู้วัตถุประสงค์โครงการ หลักเกณฑ์ในการใช้สิทธิ และได้ใช้ประโยชน์จากกองทุน 5 กองทุน ประกอบด้วย  1.กองทุนตั้งตัวได้  2.กองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน  3.กองทุนหมู่บ้าน 4.กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ 5.กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีสำหรับผู้หญิงทั่วประเทศ  โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ณ สนามรัชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพฯ

            นายวิทยา กล่าวว่า ในการจัดกิจกรรมในวันนี้ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้จัดบริการต่างๆให้ประชาชนได้สัมผัสจริงถึงนโยบาย 30 บาท ยุคใหม่ เพิ่มคุณภาพหลังการร่วมจ่าย ร่วมพัฒนา เพื่อคนไทยสุขภาพดี และสื่อสารเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับประชาชนทุกกลุ่ม เช่น จัดบริการทันตกรรม การค้นหาโรคหัวใจเบื้องต้นด้วยการตรวจคลื่นอีเคจี (EKG) การตรวจตาค้นหาโรคตาต้อกระจก เป็นต้น  
               
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ผลดำเนินการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่าคนไทยได้รับการคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาล ทำให้กว่า 100,000 ครัวเรือน ไม่ต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย คนไทยทุกคนมีหลักประกันสุขภาพ ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไป รัฐบาลชุดนี้ได้ต่อยอดโครงการและพัฒนาให้เป็น “30 บาทยุคใหม่ เพื่อสุขภาพของคนไทยที่ยั่งยืน”โดยในปีงบประมาณ 2555และ 2556 จัดงบเฉลี่ยรายหัว 2,755.60 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 หัวละ 209.12 บาท ครอบคลุมประชากร 48,333,000 คน คิดเป็นร้อยละ 75 ของประชากรทั้งประเทศ และจะให้ประชาชนร่วมจ่ายค่าธรรมเนียมบริการ 30 บาทต่อครั้งเฉพาะกรณีที่รับยา ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลชุมชนขึ้นไปจนถึงโรงพยาบาลศูนย์ ทั้งรัฐและเอกชนที่ร่วมโครงการ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป
นายวิทยากล่าวต่อไปว่า การร่วมจ่าย 30 บาท เป็นการสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจแก่ผู้รับบริการ ซึ่งนโยบายการดำเนินงานของรัฐบาล จะเน้นให้บริการด้วยหัวใจ ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ไม่ใช่บริการแบบอนาถา โดยโครงการ 30 บาทยุคใหม่นี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญของการป้องกันการเจ็บป่วยทุกโรค ซึ่งเป็นการจัดการสุขภาพที่เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด ได้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนตำบลทุกพื้นที่ ซึ่งมีประมาณ 7,700 กว่าแห่งทั่วประเทศ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. สนับสนุนเงินปีละกว่า 2,200 ล้านบาท และจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. อีกประมาณ 800 กว่าล้านบาท
  
  
  
ทั้งนี้เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมสุขภาพในการป้องกันโรค ดูแลสุขภาพเชิงรุกตามสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่ และกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม      
สำหรับโฉมหน้าบริการ 30 บาทยุคใหม่ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 เป็นต้นไป ประชาชนที่ใช้สิทธิโครงการนี้ จะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 11 ประการ ดังนี้ 1.หากเจ็บป่วยฉุกเฉินรุนแรงอาจถึงแก่ชีวิต  สามารถรับบริการที่โรงพยาบาลใดก็ได้ทั้งรัฐและเอกชนที่ใกล้ที่สุด ไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน 2.ผู้ป่วยเอดส์ จะได้รับการดูแลเท่าเทียมกันทุกสิทธิ และเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยด้วยระบบออนไลน์ หากย้ายที่อยู่ หรือย้ายสิทธิก็จะได้รับบริการต่อเนื่อง ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ 3.ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายทุกสิทธิ จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับผู้ป่วยเอดส์ 4.ผู้ป่วยทุกสิทธิจะได้รับยาดีที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม ตามมาตรฐานการรักษาของประเทศ 5.มีระบบให้คำปรึกษาออนไลน์ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านระบบเทคโนโลยีทางไกล เทเลเมดิซิน (Telemedicine) ระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองที่อยู่ใกล้บ้าน กับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และจะพัฒนาให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายใน 2 ปี 6.เพิ่มเมนูอาหารเพื่อสุขภาพแก่ผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อให้หายป่วยเร็ว และปลูกฝังนิสัยการกินอาหารที่มีคุณภาพ เหมาะกับโรค ไม่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง
                 7.ผู้ป่วยอายุ 70 ปีขึ้นไปไม่ต้องรอคิวในการรับบริการที่โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง 8.มีบริการแพทย์แผนไทยที่ได้มาตรฐานที่หน่วยบริการใกล้บ้าน ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย 9.กรณีเปลี่ยนที่อยู่อาศัยสามารถเปลี่ยนหน่วยบริการประจำได้บ่อยขึ้นปีละไม่เกิน 4 ครั้ง จากเดิมจะให้เปลี่ยนปีละไม่เกิน 2 ครั้ง โดยใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียว ก็ลงทะเบียนสิทธิหรือเปลี่ยนหน่วยบริการได้ 10.โรงพยาบาลชุมชนขึ้นไปทุกแห่งในสังกัดฯ จะให้บริการผู้ป่วยเต็มเวลา และ11.ประชาชนจะได้รับการส่งเสริมสุขภาพ การตรวจคัดกรองโรค ลดความเสี่ยง ป้องกันการเจ็บป่วย และเกิดโรคเรื้อรัง ทั้งหมดนี้จะทำให้คนไทยทุกคนได้รับบริการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ ทั้งผู้ที่ป่วยแล้ว และประชาชนทั่วไป รวมทั้งเด็กแรกเกิดก็ได้รับวัคซีนป้องกันโรคอย่างเหมาะสม
********************** 25 สิงหาคม 2555


   
   


View 8    25/08/2555   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ