“สมศักดิ์” ยกระดับหมอนวดไทยเชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย หนุนเศรษฐกิจสุขภาพ
- สำนักสารนิเทศ
- 372 View
- อ่านต่อ
สาธารณสุขขยายบริการด้านการแพทย์แผนไทย และการใช้ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ในสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ รักษาอาการเจ็บป่วย เพื่อพร้อมก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 คาดเมื่อไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ยาสมุนไพรจะดึงเงินเข้าประเทศไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
วันนี้ (30 เมษายน 2555) ที่จ.นครราชสีมา นายแพทย์
นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวว่า การรวมกลุ่มสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศไปสู่เขตเศรษฐกิจเดียวหรือที่เรียกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในปี พ.ศ. 2558 และเปิดเขตเสรีทางการค้าอาเซียนหรืออาฟตา AFTA (AFTA :ASEAN Free Trade Area) เป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกของประเทศสมาชิกร่วมกันสร้างพลังต่อรองด้านเศรษฐกิจ การค้าและสังคมกับเขตประชาคมเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งทุกประเทศต้องเร่งพัฒนาจุดแข็งด้านสินค้าและบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐานสามารถแข่งขันในตลาดเสรี ไทยจัดว่าเป็นประเทศมีทรัพยากรและภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยอยู่มาก การก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของไทย จะทำให้การเจรจาทางการค้าที่รวมถึงตลาดยาสมุนไพร อาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพ มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในช่วงปีดังกล่าวประเทศไทยจะสามารถดึงการค้าอุตสาหกรรมที่ใช้ยาสมุนไพรเข้าประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวต่อว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการส่งเสริมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในระบบบริการสาธารณสุขทุกระดับ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของแพทย์แผนไทยและอุตสาหกรรมยาสมุนไพร ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเตรียมขยายการให้บริการด้านการแพทย์แผนไทยเพื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 เริ่มตั้งแต่ปี 2555 โดยตั้งเป้าภายในปี 2558 ไว้ดังนี้ 1.ประชาชนได้รับบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในปีถัดไป 2.เพิ่มรายการยาสมุนไพรเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติจาก 75 รายการเป็น 100 รายการ 3.สถานบริการที่เป็นศูนย์บริการด้านการแพทย์แผนไทยและมีแพทย์แผนไทยประจำเพิ่มขึ้นจาก 200 แห่งเป็น 800 แห่ง มีบริการทั้งยาสมุนไพร นวด ประคบ และฝากครรภ์ 4.ร้อยละ 50 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีบริการแพทย์แผนไทยพื้นฐาน เน้นการใช้ยาสมุนไพรพื้นฐานและบริการนวดไทย และครบทุกแห่ง คือ9,750 แห่งภายในปี 2558
ทางด้านรศ.ดร.สมภพ ประธานธุรารักษ์ รองคณบดีฝ่ายแผนและพัฒนาคุณภาพ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ (FTA) กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อพัฒนาจุดแข็งยาสมุนไพรไทย 3 ประการ ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปธรรม การพัฒนาโรงงานผลิตยาด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และการสร้างความเข้าใจในหลักการของการแพทย์และสมุนไพรไทย เพิ่มความน่าเชื่อถือทั้งบุคลากรทางการแพทย์และผู้บริโภค โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา
ในปี 2555 นี้ ได้จัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาสมุนไพร เพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าอาฟต้า ด้วยสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ มีกิจกรรม 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.การพัฒนาการผลิตยาสมุนไพรไทยทั้งภาครัฐและเอกชน ให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้นและการพึ่งตนเองทางด้านยารักษาโรค มีผู้ประกอบการผลิตยาสมุนไพรภาคเอกชนร่วมโครงการ 60 คน และภาครัฐ 50 คน 2. การศึกษาวิจัยทางคลินิกตำรับยาครีมไพลสกัด และการวิจัยพัฒนารูปแบบตำรับยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติอีก 8 ตำรับ ได้แก่ ตรีผลา ไฟประลัยกัลป์ ริดสีดวงมหากาฬ สหัศธารา ประสะจันทร์แดง ประสะไพล เบญจกูล และยาบำรุงโลหิต 3. การส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติในทุกภาคส่วน เพื่อการพึ่งตนเองทางด้านยารักษาโรค และการปกป้องตลาดยาภายในประเทศ โดยนำเสนอผลงานวิจัยที่สนับสนุนการใช้ตามภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยซึ่งดำเนินการโดยนักวิจัยไทย โดยเฉพาะตำรับยาหอมนวโกฐและอินทรจักร ยาแก้ไข้จันทลีลา ยาแก้ท้องเสียยาเหลืองปิดสมุทร รวมทั้งข้อมูลการวิจัยด้านเภสัชวิทยา พิษวิทยา และการศึกษาทางคลินิกของยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ และยังได้จัดทำคู่มือการใช้ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติจำนวน 19 ตำรับ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์
********************************************* 30 เมษายน 2555