รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตือนใช้เครื่องกันหนาวมือสอง ระวังโรคผิวหนังกลาก เกลื้อน แนะก่อนใช้ต้องต้มในน้ำเดือดนาน 15-30 นาที หรือแช่น้ำยาซักผ้าขาว แล้วรีดด้วยความร้อนสูง โดยเฉพาะด้านในของเสื้อผ้า พร้อมย้ำเตือนนักท่องป่าหน้าหนาวที่นิยมนอนเต้นท์หรือจัดแคมป์ไฟ ระวังโรคสครับไทฟัสจากตัวไรอ่อนกัดในร่มผ้า และโรคไข้จับสั่นหรือไข้มาลาเรียจากยุงก้นปล่อง อันตรายถึงตาย ทั้ง 2 โรคพบได้ตลอดปี ปีนี้พบป่วยแล้วกว่า 23,000 ราย เสียชีวิต 10 ราย ย้ำเตือนหากป่วยหลังเที่ยวป่า 10-14 วัน ควรพบแพทย์

       นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ขอให้ประชาชนสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกายให้เพียงพอ และมีความเป็นห่วงผู้ที่ใช้เครื่องกันหนาวมือสอง เช่น เสื้อกันหนาวราคาถูก อาจจะมีความเสี่ยงติดเชื้อที่มากับเสื้อผ้าดังกล่าวทั้งจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ทำให้เกิดโรคกลาก เกลื้อน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ก่อนนำมาใช้ ต้องซักและต้มในน้ำเดือดนาน 15-30 นาที เพราะการซักธรรมดาอย่างเดียวหรือตากแดดจัดๆ เป็นเวลานานไม่สามารถฆ่าเชื้อเหล่านี้ได้หมด หรืออาจแช่ด้วยน้ำยาซักผ้าขาว แล้วรีดด้วยความร้อนสูง โดยเฉพาะด้านในของเสื้อผ้า เพราะเชื้อราที่เป็นสาเหตุของกลากและเกลื้อน จะทนต่อสภาวะการทำความสะอาดตามปกติ นอกจากนี้ ในช่วงหน้าหนาวซึ่งอากาศเย็น ฟ้าโปร่ง มักจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมไปเที่ยวป่า เดินป่า กางเต็นท์นอนตามป่า หรือนอนดูดาวในหน้าหนาว โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาในภาคเหนือ ขอให้ระมัดระวังตนเอง เนื่องจากในป่าจะมีตัวไรอ่อน เป็นพาหะนำโรค สครับไทฟัส และมียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรคมาลาเรีย ซึ่งยุงชนิดนี้อยู่ในป่า ออกหากินเวลากลางคืนอยู่แล้ว ทั้ง 2 โรคนี้มีอันตรายอาจทำให้เสียชีวิต เพราะไม่มีวัคซีนป้องกันโรค แต่มียารักษาหายขาด ได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง

        ทางด้านนายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคสครัป ไทฟัส เกิดจากตัวไรอ่อน (Chigger) กัด ซึ่งในตัวไรอ่อนจะมีเชื้อริกเกทเซีย (Rickettsia orientalis) เชื้อชนิดนี้อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหารของไรหลายชนิด เมื่อตัวไรแก่ออกไข่ไว้บนดินและไข่ฟักเป็นตัว มักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ และกินน้ำเหลืองของสัตว์เลือดอุ่น เช่น นก หนู สัตว์เลื้อยคลาน และคนที่เดินผ่านบริเวณที่ไรอ่อนอยู่ โดยไรอ่อนมักอยู่ตามทุ่งหญ้า พุ่มไม้เตี้ยๆ หรือพื้นที่ป่าละเมาะและป่าทึบ ตัวไรอ่อนมีขนาดเท่าปลายเข็มหมุด มองเห็นได้ ตัวสีส้มอมแดง โดยไรอ่อนชอบกัดบริเวณร่มผ้า ขาหนีบ เอว ลำตัว รักแร้ และคอ หลังถูกไรอ่อนกัด จะมีแผลไหม้ (Eschar) คล้ายกับโดนบุหรี่จี้ ตรงกลางเป็นสะเก็ดสีดำ และรอบๆ แผลจะแดง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ หลังถูกกัดประมาณ 10-12 วัน จะมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามตัว ตาแดง อาจมีอาการทางปอดและสมองได้    

        สำหรับโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องเป็นพาหะ เกิดจากเชื้อพลาสโมเดียม (Plasmodium ) มี 5 ชนิด ที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นชนิดพี.ฟัลซิพารัม (P.falciparum) ซึ่งเป็นชนิดที่รุนแรง และ พี.ไวแว็ก (P.vivax) มีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน อาการโรคนี้คือ มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ พบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี ทุกกลุ่มอายุ แต่พบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 10-35 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2 เท่า เชื้อทั้ง 2 ชนิดจะมีลักษณะของอาการไข้ต่างกัน หากเป็นเชื้อฟัลซิพารัม จะจับไข้ทุก 36-48 ชั่วโมงหรือทุกวันก็ได้ และอาจมีอาการแทรกซ้อนร้ายแรงเช่น มาลาเรียขึ้นสมอง น้ำตาลในเลือดต่ำ เหลืองซีด ปัสสาวะสีดำ ไตล้มเหลว ปอดบวมน้ำ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ส่วนเชื้อไวแว็กซ์ จับไข้ทุก 48 ชั่วโมงหรือจับไข้วันเว้นวัน ดังนั้น หากหลังเข้าป่าประมาณ 10-14 วัน แล้วมีอาการดังที่กล่าวมาก็ขอให้รีบพบแพทย์ และแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบด้วย เพื่อให้การรักษาที่รวดเร็ว

      ทั้งนี้ จากรายงานโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศในปี 2554 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมจนถึงพฤศจิกายน พบมีผู้ป่วยโรคสครับไทฟัส 5,721 ราย เสียชีวิต 2 ราย ผู้ป่วยร้อยละ 63 พบในภาคเหนือจำนวน 3,609 ราย รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,404 ราย พื้นที่ที่พบมากที่สุดคือน่าน จำนวน 735 ราย รองลงมาคือเชียงราย 556 ราย และตาก 510 ราย ส่วนโรคมาลาเรียพบผู้ป่วย 17,636 รายเสียชีวิต 8 ราย พบมากที่สุดที่ภาคเหนือ 11,150 ราย ภาคใต้ 3,028 ราย ภาคกลาง 2,694 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือน้อยที่สุด 764 ราย จังหวัดที่พบมากที่สุดได้แก่ ตาก 9,677 ราย แม่ฮ่องสอน 1,043 ราย และยะลา 608 ราย

      นายแพทย์พรเทพ กล่าวต่ออีกว่า ในการป้องกันไม่ให้ไรอ่อนกัด ผู้ที่จะไปเดินป่า ควรใส่รองเท้า ถุงเท้าหุ้มปลายขากางเกงไว้ ใส่เสื้อแขนยาวปิดคอ และเหน็บปลายเสื้อเข้าในกางเกง ใช้ยาทากันแมลงกัด ในการเลือกที่ตั้งค่ายพักในป่า ควรทำบริเวณค่ายพักให้โล่งเตียน หลีกเลี่ยงการนั่งและนอนบริเวณพุ่มไม้ ป่าละเมาะ หรือหญ้าขึ้นรก และเมื่อกลับมาถึงที่พัก ต้องรีบนำเสื้อผ้าไปต้ม หรือแช่ผงซักฟอกทันที เพื่อทำลายไรอ่อนที่อาจติดมากับเสื้อผ้าได้ ผู้ที่จะนอนแคมป์ตามป่าเขา ควรเตรียมมุ้งหรือเต้นท์ชนิดที่มีตาข่ายกันยุงได้ และทายากันยุง ป้องกันยุงกัด โดยในการทายากันยุงต้องทาบริเวณที่มีโอกาสจะถูกยุงกัด ได้แก่ แขน ขา ใบหู หลังคอ และส่วนที่อยู่นอกเสื้อผ้า

                                                                                                                                                                 ******************************************* 18 ธันวาคม 2554



   
   


View 6       ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ