ล่าสุดไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ยังมีชีวิตกว่า 5 แสนคน เตรียมจัดสัมมนาระดับชาติเรื่องเอดส์ครั้งที่ 13 ที่อิมแพค เมืองทองธานี วันที่ 29-31 มีนาคม 54
วันนี้ (22 มีนาคม 2554) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวการจัดการสัมมนาระดับชาติเรื่องเอดส์ ครั้งที่ 13 ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีกำหนดการจัดงานสัมมนาระดับชาติเรื่องเอดส์ ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม 2554 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เพื่อเป็นเวทีในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ และบทเรียนประสบการณ์การดำเนินงานด้านการป้องกันดูแลรักษา และแก้ไขปัญหาเอดส์ โดยมีแนวคิดในการสัมมนาครั้งนี้ว่า “สิทธิด้านเอดส์ คือสิทธิมนุษยชน ร่วมพิทักษ์สิทธิ์ ร่วมรับผิดชอบ” ทั้งนี้เพื่อเน้นการให้ความสำคัญของการปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านเอดส์ของประชาชนโดยเฉพาะผู้ติดเชื้อและประชาชนต่อไป รวมทั้งส่งเสริมในการถึงบริการการป้องกันและดูแลรักษา เอชไอวี ขจัดการตีตราการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า ในการสัมมนาครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิดงาน พร้อมทั้งแสดงปาถกฐาพิเศษในวันที่ 29 มีนาคม เวลา 14.00น.-15.00น. อย่างไรก็ตามนโยบายในการแก้ไขปัญหาเอดส์ของกระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่าย ได้ยึดถือตามแนวทางที่ยูเอ็นเอดส์ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือมาตรการ 3 ศูนย์ (Zero) คือผู้ติดเชื้อรายใหม่ต้องไม่เพิ่มขึ้น ต้องไม่มีผู้เสียชีวิตจากการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์เพิ่มขึ้นอีกต่อไป และจะไม่มีการกีดกันหรือตีตราผู้ป่วยโรคเอดส์อีกต่อไป
นายจุรินทร์กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา ไทยมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ประการแรกคือการไม่เพิ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการจัดทำหลักสูตรเพศศึกษาในโรงเรียนโดยให้ความรู้กับนักเรียนปีละ 16 – 30 ชั่วโมง สำหรับหญิงอาชีพพิเศษหรือกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย หรือกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดโดยวิธีการใช้เข็มฉีด มีการให้บริการที่เรียกว่าการให้บริการที่เป็นมิตร การให้บริการเคลื่อนที่ในรูปแบบต่างๆ ในกลุ่มดังกล่าว
ประการที่ 2 การดำเนินการในเรื่องของการไม่เพิ่มผู้เสียชีวิตหรือลดการเสียชีวิตที่เป็นรูปธรรมในช่วงที่ผ่านมา เช่น 1.กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้มีมาตรการใหม่ในการให้การรักษาผู้ป่วยเอดส์ให้ทันท่วงทีขึ้น โดยดูจากปริมาณซีดีโฟร์ (CD 4) จากเกณฑ์เดิมต้องต่ำถึง 200 จึงให้การรักษา แต่มาตรการใหม่แค่ต่ำกว่า 350 ก็ให้การรักษาแล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาดีขึ้น 2.มีการตรวจเชื้อเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้งครอบคลุมทุกสิทธิ ทั้งหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกันสังคม และข้าราชการ 3.ให้การรักษาฟรีแก่แรงงานต่างด้าวที่เป็นโรคเอดส์ 4.การเพิ่มงบประมาณในโครงการรักษาฟรีของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เช่น ปีงบประมาณ 2553 จัดให้ 2,700 ล้านบาท ปี 2554 เพิ่มเป็น 2,997 ล้านบาทและประการที่ 3 การที่จะไม่ให้มีการกีดกันผู้ป่วยเอดส์รูปธรรมที่เกิดขึ้น คือ มีมาตรการที่เป็นมาตรฐานบังคับกำหนดไว้ชัดเจนสำหรับผู้ที่จะเข้าทำงาน เช่นจะต้องไม่มีการบังคับเจาะเลือดก่อนเข้าทำงาน หรือกรณีแจกถุงยางฟรีในสถานประกอบการ หรือในจุดต่างๆ ที่มีความเหมาะสม รวมถึงมีการตั้งกลุ่มของผู้ติดเชื้อดูแลกันเองเป็นต้น
ด้านนายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การสัมมนาในครั้งนี้ ผู้ร่วมสัมมนาจะประกอบด้วย บุคลากรด้านสาธารณสุข ผู้ที่ปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์จากทุกภาคส่วน ผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยเอดส์ นักเรียน นักศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนร่วมประชุมแล้ว 3,500 คน
สำหรับเนื้อหาทางด้านวิชาการ ประกอบด้วย ความก้าวหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวี การเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอชไอวี และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิด้านเอดส์ สิทธิมนุษยชน จะมีการอภิปราย มีการนำเสนอผลงานเชิงวิชาการ นอกจากนี้มีการจัดแบบชุมชนเข้มแข็งประกอบด้วย 4 หมู่บ้าน หมู่ที่ 1 คือ ลานเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นการเสนอผลงานแบบโปสเตอร์และนิทรรศการ หมู่ที่ 2 ลานประชาคม แลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานด้านเอดส์ การอภิปราย ฉายหนังสั้น ละครเวที หมู่ที่ 3 เป็นกิจกรรมส่งเสริมผู้ติดเชื้อและผู้ทำงานชุมชนในพื้นที่ มีการจำหน่ายสินค้าที่ผลิตมาขาย หมู่ที่ 4 เป็นภักดีอิ่มใจ เป็นห้องคณะทำงานขององค์กรด้านเอดส์ และห้องทำงานของเครือข่ายผู้ติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมรณรงค์สร้างกระแสสังคมโดยมีแนวคิดสอดคล้องกับการสัมมนา ซึ่งจะจัดขึ้นที่ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ถนนงามวงศ์วาน จ.นนทบุรี ในวันที่ 30 มีนาคม 2554 เวลา 13.00 น. – 19.00 น.
ทั้งนี้ ในปี 2553 คาดประมาณว่าไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสะสม 1,161,244 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 644,128 ราย ผู้ป่วยที่มีอาการและผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ 522,548 ราย ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ประมาณปีละ 10,853 ราย โดยเป็นกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายร้อยละ 33 รองลงมาคือแม่บ้านที่ติดเชื้อจากสามีหรือคู่นอนประจำร้อยละ 28 กลุ่มชายที่ติดจากหญิงขายบริการ และสามีที่ติดจากภรรยามีการติดเชื้อเท่ากันคือร้อยละ 10 กลุ่มใช้ยาเสพติดชนิดฉีดร้อยละ 9 กลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์ชั่วคราวร้อยละ 7 และกลุ่มหญิงขายบริการติดจากนักเที่ยวร้อยละ 4 โดยอายุของผู้ป่วยจะอยู่ในช่วงเจริญพันธุ์ 15-49 ปี กล่าวคือ อายุระหว่าง 30-34 ปี มากที่สุดประมาณร้อยละ 24 รองลงมาคือกลุ่มอายุ 25-29 ปีร้อยละ 21 และกลุ่มอายุ 35-39 ปีร้อยละ 18
********************************* 22 มีนาคม 2554