หลังพบมากด้วยสรรพคุณ มีฤทธิ์ต้านโรคเริม ป้องกันสารพิษทำลายสมอง ป้องกันพิษจากการได้รับเคมีบำบัดที่ใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็ง

          วันนี้(11 มีนาคม 2554) ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลกรุงเทพมหานคร ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการสัมมนา รางจืด มากกว่าสมุนไพรล้างพิษ จัดโดยมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ร่วมกับสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อให้สามารถนำรางจืดมาแก้ปัญหาการเจ็บป่วยของประชาชนอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
          ดร.พรรณสิริ กล่าวว่า สมุนไพรรางจืดมีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านาน กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบาย ผลักดันให้มีการปลูกและการใช้ทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้นำรางจืดมาใช้ขับพิษสารเคมีที่ใช้กำจัดศัตรูพืช และตกค้างอยู่ในเลือดเกษตรกร ที่พบค่าเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 51 ในโครงการ เกษตรกรปลอดโรค ผู้บริโภคปลอดภัย สมุนไพรล้างพิษ กายจิตผ่องใส โครงการนี้จะตรวจเกษตรกรให้ครบทั้ง 14.1 ล้านคนทั่วประเทศ และปัจจุบันคณะกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติได้บรรจุให้รางจืดชนิดยาชงและแคปซูล ที่เป็นเภสัชตำรับที่ผลิตในโรงพยาบาลภาครัฐ เป็นรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ สามารถนำมาใช้รักษาผู้ป่วยได้แล้ว
 
          ดร.พรรณสิริ กล่าวอีกว่า ประการสำคัญยังมีข้อมูลอีกหลายๆส่วนนอกจากการนำรางจืดมากินแล้วที่น่าสนใจ โดยข้อมูลจากกลุ่มหมอพื้นบ้านพบว่าการนำน้ำรางจืดต้ม แล้วนำมาอาบจะทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง ส่วนรากรางจืดนำมาฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วนำไปทาหน้า จะทำให้หน้าขาว ไม่มีสิวฝ้า    นอกจากนี้รางจืดยังมีสรรพคุณ แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆเช่นโรคเริม งูสวัด ใช้ถอนพิษปวดแสบปวดร้อนจากไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ 
 
          ส่วนงานวิจัยในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ มีการศึกษาพบว่า รางจืดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านไวรัสโรคเริมได้ดี รางจืดยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอันดับต้นๆ มีแนวโน้มจะนำมาใช้ป้องกันสมองถูกสารพิษทำลาย และยังใช้ป้องกันพิษจากการได้รับเคมีบำบัดที่ใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ด้วย 
 
          ดร.พรรณสิริกล่าวต่อไปว่า สำหรับประสบการณ์จริงที่แสดงให้เห็นประสิทธิภาพรางจืด เมื่อประมาณปีกว่า มานี้ ได้มีการนำรางจืดมาช่วยชีวิตผู้ที่กินยำแมงดาไฟจำนวน 5 รายที่จังหวัดชุมพร ซึ่ง 2 ใน 5 รายมีอาการโคม่า ซึ่งปกติจะมีโอกาสรอดชีวิตประมาณร้อยละ 20 เท่านั้น แต่ญาติได้นำต้นรางจืดมาตำจนละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำผสมน้ำซาวข้าว ให้พยาบาลฉีดเข้าทางหลอดอาหาร หลังฉีดประมาณ 5-6 ชั่วโมงปรากฏว่าผู้ป่วยรู้สึกตัวและรอดชีวิต ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับแพทย์เป็นอันมาก
 
          จึงเห็นว่ารางจืดมีสรรพคุณและศักยภาพที่สามารถส่งเสริมให้ใช้ได้ในทุกระดับทั้งสถานพยาบาล ประชาชนทั่วไป ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะผลักดันให้มีการวิจัยเรื่องรางจืดย่างครบวงจร มีความเชื่อถือตามหลักการวิทยาศาสตร์ นำมาแก้ปัญหาการเจ็บป่วยของประชาชนอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น และพัฒนาให้รางจืดเป็นสมุนไพรเอกประจำชาติไทย หรือ โปรดัก แชมป์เปี้ยน เหมือนกับที่เกาหลีมีโสมเป็นสมุนไพรประจำชาติ   ดร.พรรณสิริกล่าว 
 
 
 ************************************************ 11 มีนาคม 2554


   
   


View 12    11/03/2554   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ