“สมศักดิ์” ยกระดับหมอนวดไทยเชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย หนุนเศรษฐกิจสุขภาพ
- สำนักสารนิเทศ
- 339 View
- อ่านต่อ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แฉอันตรายความคิดแผลงๆ ชาวบ้านที่นำเหล้าหลายชนิดมาปรุงสูตรเป็นค็อกเทล ที่เรียกว่า “ลาบเหล้า ยำเหล้า” บางรายนำเครื่องดื่มชูกำลังมาผสม เพราะเชื่อว่าจะนั่งก๊งได้นานขึ้น ชี้ความเชื่อนี้อาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าไปทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะตับ ถึงขั้นตับวาย เสียชีวิตได้ นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ว่า ขณะนี้ในกลุ่มผู้ชายไทยบางกลุ่ม ยังมีความเชื่อว่า การดื่มสุราเป็นการบรรเทาความเมื่อยล้าหลังทำงานได้ หรือดื่มเป็นยากระตุ้นให้อยากอาหาร ส่วนกลุ่มผู้หญิงมักเชื่อว่าดื่มเหล้าจะทำให้หญิงหลังคลอดมดลูกเข้าอู่เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งอาจเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้การบริโภคเครื่องดื่มประเภทนี้มีปริมาณมากขึ้น ที่น่าห่วงคือปัจจุบันนี้ พบว่ารสนิยมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชนบางกลุ่มเปลี่ยนไป โดยนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายๆ ชนิด ทั้งเหล้า เบียร์ สาโท กระแช่ มาผสมกัน เป็นสูตรค็อกเทล รู้จักในวงเหล้าว่า ลาบเหล้า ยำเหล้า เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีรสชาติดีกว่าดื่มชนิดเดียว รวมทั้งยังผสมเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนหรือยาชูกำลัง ใส่ลงไปด้วย เพราะเชื่อว่าจะทำให้ดื่มได้นานขึ้น ไม่เมาง่าย และไม่ทำให้อ่อนเพลีย นายแพทย์ไพจิตร์กล่าวต่อว่า การมีความเชื่อเหล่านี้จัดว่ามีอันตรายมาก และไม่ควรริลองทำ เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ มีผลต่อร่างกายทุกระบบ โดยกดการทำงานของระบบประสาท โดยเฉพาะสมอง ทำให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง ประการสำคัญแอลกอฮอล์เป็นสารพิษที่ร่างกายไม่ต้องการ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์พร้อมที่จะทำลายอวัยวะภายในร่างกายที่แอลกอฮอล์ไหลผ่าน หากผู้ดื่มเป็นโรคความดันโลหิตสูงซึ่งผนังหลอดเลือดมีความแข็งอยู่แล้ว เมื่อดื่มสุราเข้าไป ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว อาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิต หรือพิการ เป็นอัมพาตตามมาได้ ส่วนคาเฟอีนในเครื่องดื่มชูกำลัง มีฤทธิ์มีฤทธิ์กระตุ้นสมองให้ตื่นตัวมากขึ้น จะทำให้ผู้ดื่มสุรามีความตื่นตัวและง่วงน้อยลง จึงทำให้ผู้ดื่มมีความรู้สึกเหมือนว่าอาการมึนเมาลดลง ซึ่งฤทธิ์ของคาเฟอีนนี้ไม่สามารถต้านฤทธิ์และลดความมึนเมาจากการดื่มสุราได้ การนำเครื่องดื่มชูกำลังผสมดื่มพร้อมเหล้า จะเป็นการฝืนร่างกายให้ทำงาน ในขณะที่อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อม อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย และเสียชีวิตได้ เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสูร่างกาย ร้อยละ 92-95 จะถูกทำลายที่ตับ อีกร้อยละ 5-7 จะถูกขับออกทางลมหายใจและปัสสาวะ การดื่มแอลกอฮอล์ยิ่งมากเท่าใด ตับก็จะทำงานมากขึ้นเท่านั้นเพื่อทำลายพิษแอลกอฮอล์ ขณะเดียวกันฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำลายเซลล์ของตับไปด้วย ถึงขั้นตับวาย และเสียชีวิตได้ เซลล์ของตับนี้เมื่อสูญเสียแล้วจะเสียอย่างถาวร ไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับทำงานเหมือนเดิมได้ โดยคนที่ดื่มเหล้า มีความเสี่ยงเป็นโรคตับมากกว่าคนที่ไม่ดื่ม 8 เท่าตัว ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุด ในปี 2550 พบคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปซึ่งมีกว่า 51 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ดื่มสุราเกือบ 15 ล้านคน เป็นชาย 12 ล้านกว่าคน ที่เหลือเป็นหญิง โดยผู้ดื่มร้อยละ 34 อยู่ในกลุ่มวัยทำงานอายุ 25-59 ปี รองลงมาคืออายุ 15-24 ปี ร้อยละ 22 ในจำนวนนี้มีคนที่ติดเหล้า ต้องดื่มทุกวันจำนวน 3.3 ล้านคน *********************************** 14 เมษายน 2553