สาธารณสุข พร้อมปรับการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยในปี 2553 จะเริ่มให้ยาเมื่อระดับเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 350 เซลล์ต่อซีซี ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ ซึ่งมีร้อยละ 0.7 จะปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป ยึดตามมติคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป จะเริ่มปรับการให้ยาต้านไวรัส 2 สูตร เมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป และให้ลูกกินนมผสมแทนนมแม่หลังคลอดนาน 18 เดือนเหมือนเดิม เพราะได้ผลดีมาก ลดเด็กติดเชื้อจากแม่ได้ถึงร้อยละ 97 จากกรณี องค์การอนามัยโลกได้ออกคำแนะนำในวันเอดส์โลก ให้ประเทศต่างๆค่อยๆ หยุดให้ยาต้านไวรัส สตาวูดีน (Stavudine : d4T) ซึ่งนิยมใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากก่อให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาวแก้ไขไม่ได้ รวมทั้งอาการผิดปกติของระบบประสาท โดยแนะนำให้ใช้ยาตัวอื่นคือ ซิโดวูดีน (Zidovudine : AZT) หรือทินอฟโฟเวียร์ (Tenofovir) ซึ่งเป็นพิษน้อยกว่า และมีประสิทธิภาพทัดเทียมกัน และแนะนำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและหญิงตั้งครรภ์เริ่มรับยาต้านไวรัสเอชไอวีเร็วขึ้นตั้งแต่ค่าซีดีโฟร์ลดลงอยู่ที่ 350 เซลล์ต่อซีซี ไม่ว่าจะมีอาการป่วยหรือไม่ แทนคำแนะนำเดิมที่ให้รับยาเมื่อค่าซีดีโฟร์อยู่ที่ 200 เซลล์ต่อซีซี ซึ่งผู้ติดเชื้อมักแสดงอาการป่วยแล้ว การรักษาดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากอายุยืนยาวและสุขภาพดีขึ้น ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีควรเริ่มให้ยาต้านไวรัสตั้งแต่อายุครรภ์ 14 สัปดาห์แทนของเดิมที่ 28 สัปดาห์ และควรให้นมลูกจนถึงอายุ 1 ปี โดยทั้งแม่และลูกต้องรับยาต้านไวรัสไปด้วย ซึ่งจะช่วยลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกลง และลูกมีโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น นั้น นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข กำลังพัฒนาแนวทางการรักษาระดับสากล เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศต้นๆ ในโลก ที่มีระบบบริการยาต้านไวรัสครอบคลุมผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่ปี 2545 ปัจจุบันมีผู้ได้รับยาสะสมในโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 132,044 คน และมีผู้ที่ยังกินยาต่อเนื่อง 116,431 ราย เมื่อรวมกับโครงการประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการคาดว่าจะมีจำนวนรวมประมาณ 180,000 คน โดยในปี 2553 มีเป้าหมายขยายเพิ่ม 138,000 คน โดยยาต้านไวรัสที่ใช้ขณะนี้ส่วนใหญ่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม นายแพทย์ไพจิตร์กล่าวต่อว่า ยาสูตรหลักที่ใช้อยู่ส่วนใหญ่เป็นสูตรยา 3 ตัวพื้นฐานให้แพทย์เลือกใช้ 2 สูตร คือ จีพีโอเวียร์ (GPO-VIR) ประกอบด้วย สตาวูดีน + ลามิวูดีน + เนวิราพีน และสูตรที่ 2 คือจีพีโอเวียร์ ซี (GPO-VIR Z) ประกอบด้วย ซิโดวูดีนหรือเอแซดที + ลามิวูดีน + เนวิราพีน ยาดังกล่าวสามารถใช้ได้ในโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ การให้ยาต้านไวรัสที่ผ่านมา จะให้เมื่อระดับเม็ดเลือดขาวหรือซีดีโฟร์ (CD4) ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อซีซีทุกราย จากการประเมินพบว่าได้ผลดี การเสียชีวิตลดลงมาก ในปี 2553 จะปรับเริ่มการให้ยาจากเดิมที่ใช้เกณฑ์เม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 200–250 เซลล์ต่อซีซีเป็น 350 เซลล์ต่อซีซี เช่นเดียวกับที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ทางด้านนายแพทย์สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในการลดการติดเชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ เริ่มให้ยาต้านไวรัสเมื่อระดับเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 350 เซลล์ต่อซีซี กรมอนามัยจะยังไม่ปรับแนวทางตามทั้งหมด เนื่องจากต้องรอความเห็นจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมาจากราชวิทยาลัยสูติแพทย์และกุมารแพทย์ก่อน ซึ่งตั้งแต่เดือนธันวาคม 2552 เป็นต้นไปกรมอนามัยจะเริ่มการให้ยาต้านไวรัสแก่หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งมีร้อยละ 0.7 ของหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด หรือประมาณ 5,600 คน โดยยึดตามปริมาณเม็ดเลือดขาวตามคำแนะนำของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ แต่จะให้ได้รับยาเร็วขึ้นไม่ต้องรอให้ระดับเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อซีซี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ 1 ให้เมื่อระดับเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 350 เซลล์ต่อซีซี ใช้ยาสูตร 3 ตัว ได้แก่ เอแซดที + ลามิวูดีน + เนวิราพีน และในกลุ่มที่เม็ดเลือดขาวมากกว่า 350 เซลล์ต่อซีซี ใช้ยาสูตร 2 ตัว คือ เอแซดที + เนวิราพีน ที่ผ่านมาอัตราการใช้ยา ใน 2 กลุ่มนี้ใกล้เคียงกัน คือ 49 ต่อ 51 โดยให้ยาเมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์เหมือนเดิม เนื่องจากการประเมินผลพบว่า ได้ผลดีมาก สามารถลดการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 97 มีเด็กเกิดใหม่ติดเชื้อเอชไอวีจากแม่เหลือเพียงร้อยละ 2.9 หรือประมาณ 162 คนต่อปี ซึ่งจากเดิมในปี 2540 อัตราเด็กติดเชื้อจากแม่อยู่ที่ร้อยละ 33 นายแพทย์สมยศกล่าวต่อว่า การดูแลหลังคลอดในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไทยก็จะยึดหลักเกณฑ์เดิม คือ จะให้เด็กกินนมผสมแทนการกินนมแม่เป็นเวลา 18 เดือน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยเด็กมากที่สุด โดยจะให้ยาต้านไวรัสทั้งแม่และลูกควบคู่กันตามปริมาณเม็ดเลือดขาว และจะมีการเจาะเลือดติดตามการติดเชื้อในเด็กเมื่ออายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 18 เดือน ซึ่งในปี 2553 ได้จัดงบประมาณซื้อนมผงไว้ 50 ล้านบาท ขณะนี้ได้แจ้งให้โรงพยาบาลทุกแห่งใช้เป็นแนวทางการรักษาหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเป็นระบบเดียวกันทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่กลุ่มเอ็นจีโอ ได้เสนอให้กระทรวงสาธารณสุข ใช้ยาต้านไวรัส 3 ตัวคือ เอแซดที + ลามิวูดีน + โลพินาเวียร์ เพื่อลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในหญิงตั้งครรภ์ทุกคนนั้น นายแพทย์สมยศกล่าวว่า การใช้ยาสูตร 3 ตัวดังกล่าว จะต้องระมัดระวังถ้าใช้ในหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี ที่ซีดีโฟร์มากกว่า 350 เซลล์ต่อซีซี เนื่องจากมีโอกาสเกิดการแพ้ยาที่เรียกว่าอาการสตีเว่น จอห์นสัน ซินโดรม ตับอักเสบ และอาจจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง แก้มตอบ ผิวพรรณหมองคล้ำ จึงต้องศึกษาวิจัยและพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อดูความพร้อมของผู้ให้บริการ ซึ่งจะต้องมีสูตินรีแพทย์ แพทย์อายุรศาสตร์ และพยาบาลที่ได้รับการฝึกอบรม โดยกรมอนามัยจะศึกษานำร่องการใช้ยานี้ใน 11 จังหวัด เช่น นครสวรรค์ สตูล ศรีสะเกษ นครพนม มุกดาหาร เริ่มตั้งแต่ธันวาคม 2552 เป็นต้นไป หากได้ผลดีก็จะเสนอต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต่อไป ************************************ 1 ธันวาคม 2552


   
   


View 9    01/12/2552   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ