กระทรวงสาธารณสุข ปรับแนวทางการรักษาผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ให้ยาต้านไวรัสผู้ป่วยอาการรุนแรงทันทีทุกราย ตามขนาดน้ำหนักตัว โดยไม่ต้องรอผลแล็ป และรับตัวไว้ดูแลอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรง เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ หรืออายุมากกว่า 65 ปี กลุ่มผู้ป่วย เรื้อรัง แต่อาการไม่รุนแรง ให้ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด 48 ชั่วโมง มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากกรมการแพทย์และคณะแพทยศาสตร์ 9 สถาบัน ช่วยดูแลรายวิกฤติ วันนี้(18 กรกฎาคม 2552)ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ปรับแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ได้แก่ผู้ที่มีไข้ ร่วมกับไอ เจ็บคอหรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วยเช่นคัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดเมื่อย อาเจียน ท้องเสีย เพื่อลดการเสียชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งแนวทางดังกล่าวได้จัดส่งให้โรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนแล้ว รวมทั้งคณะแพทยศาสตร์ต่างๆ ให้ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งแนวทางนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับองค์การอนามัยโลกที่ให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกใช้เช่นกัน โดยรศ.(พิเศษ)นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านวิชาการและการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ฯ จากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีและคณะ ได้จัดทำแนวทางในการดูแลผู้ป่วยดังกล่าว โดยจัดแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1. คือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีอาการปอดอักเสบ ซึมผิดปกติ รับประทานอาหารไม่ได้หรือได้น้อยกว่าปกติ หรือมีปัญหาร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงของการป่วย ให้รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลและให้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์เร็วที่สุด โดยไม่ต้องรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ กลุ่มที่ 2. ได้แก่กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง และเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรครุนแรงซึ่งมี 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และกลุ่มที่มีโรคเรื้อรัง เช่นโรคระบบทางเดินหายใจได้แก่โรคถุงลมปอดโป่งพอง โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคธาลัสซีเมีย ที่ทำให้ภูมิต้านทานโรคในร่างกายต่ำ รวมทั้งผู้ป่วยที่ต้องกินยาแอสไพรินมาเป็นเวลานานเช่นผู้ป่วยโรคหัวใจเพื่อป้องกันเลือกแข็งตัว และผู้ที่มีอ้วนมาก ให้ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด อย่างน้อย 48 ชั่วโมง และพิจารณาให้ยาโอเซลทามิเวียร์ ถ้ามีอาการรุนแรงขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงแรกหรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจาก 48 ชั่วโมงไปแล้ว กลุ่มที่ 3. เป็นผู้ป่วยที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรง แนะนำวิธีการดูแลที่บ้าน ให้ยารักษาตามอาการ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่อาการจะหายได้เองภายใน 3 -5 วัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นและมีอาการคือ หายใจเร็ว หายใจลำบาก ซึมผิดปกติ กินไม่ได้ หรืออาการไม่ดีขึ้นในวันที่ 3 ของการป่วย แนะนำให้ผู้ป่วยรีบมาพบแพทย์ทันที หลักเกณฑ์ในการให้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ ในรายที่อายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป จะให้ตามขนาดน้ำหนักตัว ขนาดตั้งแต่ 25 - 75 มิลลิกรัม กินวันละ 2 ครั้ง หากอายุต่ำกว่า 1 ปีจะให้ตามช่วงอายุ คือ ต่ำกว่า 3 เดือน , 3-5 เดือนและ 6-11 เดือน ให้กินขนาด 12 - 25 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ในการเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการจะเน้นเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรงที่มีปัญหาปอดบวมหรือรายที่รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น สำหรับการพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยให้ได้รับการดูแลรักษาต่อ ได้มีการจัดแบ่งโซนรับผิดชอบร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญจากแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆ โดยคณะผู้เชี่ยวชาญมีบทบาทในการให้คำปรึกษาแพทย์ที่รักษา การจัดทีมลงพื้นที่ให้คำแนะนำในกรณีร้องขอ และการฟื้นฟูวิชาการรักษาผู้ป่วยแก่โรงพยาบาลต่างๆใน 75 จังหวัดดังนี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ดูแล 9 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ดูแล 6 จังหวัดได้แก่ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ โรงพยาบาลรามาธิบดีดูแล 7 จังหวัดได้แก่ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง สระบุรี กรมการแพทย์ดูแลจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา และสมุทรปราการ ศิริราชพยาบาลดูแลนครปฐม สมุทรสงคราม สมุทรสาคร กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ดูแล ปราจีนบุรี นครนายกและฉะเชิงเทรา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ดูแล สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรีและตราด มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดูแล เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และมุกดาหาร มหาวิทยาลัยขอนแก่นรวมกับกรมการแพทย์และวิทยาลัยแพทย์มงกุฎเกล้าดูแล ชัยภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ส่วนที่เหลือ 15 จังหวัดภาคใต้ตั้งแต่ ประจวบคีรีขันธ์ จนถึงนราธิวาส อยู่ในความดูแลของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎและกรมการแพทย์ โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ****************************************** 18 กรกฎาคม 2552


   
   


View 13    18/07/2552   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ