สธ. แจง “ต่างด้าว” เข้ารักษามีค่าใช้จ่าย ยกเว้น 3 กลุ่ม “รอสัญชาติไทย-อยู่ในประกันสังคม-ซื้อประกันสุขภาพ” มีกองทุนดูแล
- สำนักสารนิเทศ
- 136 View
- อ่านต่อ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรมรณรงค์กลุ่มเสี่ยงฉีด "วัคซีนคู่สู้หน้าฝน" คือ วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนโควิด 19 เพิ่มภูมิคุ้มกันโรคก่อนที่จะเข้าระยะการระบาดในช่วงฤดูฝนนี้ ช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ย้ำฉีดพร้อมกันสะดวก ปลอดภัย ผลข้างเคียงน้อย ไม่ต่างจากการฉีดวัคซีนชนิดเดียว พร้อมให้ สธ. ร่วมกับ สปสช.เร่งจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม อีก 8.6 แสนโดส รวมเป็น 5.26 ล้านโดส ให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เชิญชวนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับบริการ “วัคซีนคู่” ได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
วันนี้ (3 พฤษภาคม 2566) ที่สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดกิจกรรม World Immunization Week: 2023 Vaccine for Everyone “Episode II: วัคซีนคู่ สู้หน้าฝน (Dual Immunity)” โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมงาน
นายอนุทิน กล่าวว่า ตลอดเวลากว่า 40 ปี ประเทศไทยได้ใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ให้แก่ประชากรกลุ่มเป้าหมาย เพื่อป้องกัน ควบคุม ลดการป่วยรุนแรงและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 การฉีดวัคซีนถือเป็นมาตรการสำคัญที่ทำให้ทุกประเทศผ่านพ้นวิกฤตการณ์มาได้ อย่างไรก็ตาม ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีการจัดกิจกรรมในหลายพื้นที่ ทำให้มีแนวโน้มพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 เพิ่มขึ้น ประกอบกับข้อมูลทางระบาดวิทยาคาดการณ์ว่าโรคโควิด 19 และไข้หวัดใหญ่ จะแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในฤดูฝน ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้นจะมีความเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิตได้ จึงขอเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายตามเกณฑ์เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนโควิด 19 เป็นวัคซีนประจำปี เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพของตนเอง ป้องกันคนในชุมชน รวมถึงเป็นการรักษาระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย ซึ่งข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่าสามารถฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิดพร้อมกันได้ ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะห่าง ทำให้สะดวกต่อการมารับบริการในครั้งเดียว
"กระทรวงสาธารณสุข ขอให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และประชาชนกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ตามเกณฑ์ เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่และ กลุ่ม 608 เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ก่อนเข้าฤดูฝน ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิด มีความปลอดภัยสูง การศึกษาวิจัยของต่างประเทศไม่พบผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นจากการฉีดพร้อมกัน ซึ่งหลายประเทศในยุโรป อาทิ สหราชอาณาจักร ดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการรณรงค์เชิญชวนให้กลุ่มเสี่ยงมารับวัคซีนทั้ง 2 ชนิด กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดกิจกรรม World Immunization Week: 2023 Vaccine for Everyone “Episode II: วัคซีนคู่ สู้หน้าฝน (Dual Immunity)” กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ควบคู่กับวัคซีนโควิด 19 ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน โดยสามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ทั้งนี้ ได้จัดเตรียมวัคซีนโควิด 19 ไว้อย่างเพียงพอ ส่วนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ กระทรวงสาธารณสุขมุ่งหวังให้กลุ่มเสี่ยงได้รับการฉีดครอบคลุมมากขึ้น จึงได้ปรับลดค่าบริการฉีดวัคซีนจาก 60 บาทเหลือ 20 บาทต่อครั้ง เพื่อให้ สปสช.นำเงินค่าบริการส่วนนี้ไปปรับเป็นงบประมาณจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม ช่วยประหยัดงบประมาณ โดยเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา บอร์ด สปสช. ได้มีมติเห็นชอบให้จัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มอีก 8.6 แสนโดส เมื่อรวมกับวัคซีนที่ สปสช. จัดซื้อสำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยงปีนี้ 4.4 ล้านโดส จะมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้บริการทั้งสิ้น 5.26 ล้านโดส
ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเร่งรัดติดตามให้กลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัยได้รับวัคซีนครบถ้วนตามเกณฑ์ เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันหมู่ของประเทศให้สูงเพียงพอต่อการป้องกันโรค โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูงต่อภาวะป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด 19 ที่คาดว่าจะมีการระบาดเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทั้ง 2 โรคควบคู่กันจึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่จะช่วยปกป้องกลุ่มเสี่ยงและคนรอบข้างได้ การจัดกิจกรรม ในวันนี้จึงเน้นการสื่อสารภายใต้กรอบแนวคิด “วัคซีนคู่ สู้หน้าฝน” เพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงตระหนักและมารับวัคซีนทั้ง 2 ชนิด ช่วยลดความรุนแรงและลดการเสียชีวิต
***************************** 3 พฤษภาคม 2566