รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งแก้ไขปัญหาบอร์ดองค์การเภสัชกรรมที่ซ้ำซ้อน 2 ชุด ทำงานลำบาก โดยเสนอให้นายแพทย์วิชัยถอนฟ้องศาลปกครองและดึงกรรมการบอร์ดชุดใหม่มาเสริมชุดเก่าให้ครบ 15 คน และเร่งแก้ไขร่างพระราชกฤษฏีกาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐพ.ศ.2550 ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหายาข้ามชาติทะลักเข้าไทย จากการเปิดการแข่งขันเสรีทางการค้า อุตสาหกรรมยาไทยจะอยู่ไม่ได้
ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมองค์การเภสัชกรรม(อภ.)เมื่อเช้าวันนี้(6ตุลาคม 2551)ว่าการตรวจเยี่ยมองค์การเภสัชกรรมครั้งนี้ ตั้งใจจะเร่งแก้ไขปัญหาปัญหาที่องค์การเภสัชกรรมติดขัด 2 เรื่อง เรื่องแรกได้แก่การตั้งบอร์ดบริหารองค์การเภสัชกรรม ซึ่งขณะนี้ มี 2 ชุด คือชุดเก่าที่มีนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒนเป็นประธาน เหลือคณะกรรมการ 9 คน และบอร์ดชุดที่ 2 แต่งตั้งโดยนายไชยา สะสมทัรพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีนายถิรชัย วุฒิธรรม เป็นประธาน มีกรรมการ 15 คน
ซึ่งชุดที่ 1 ขณะนี้ได้รับความคุ้มครองจากศาลปกครอง ยังทำงานต่อเนื่อง บอร์ดชุดที่ 2 ไม่สามารถทำงานได้ การดำเนินงานขององค์การเภสัชกรรมไม่ราบรื่น สังคมมองว่ามีความแตกแยกในองค์กร จึงต้องการให้เกิดความสมานฉันท์ สามารถทำงานต่อไปได้ ในหลักการจะขอให้นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน หารือกับนายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และถอนฟ้องศาลปกครอง โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมใหม่อีก 6 คนเข้าไปชุดที่ 1 ให้ครบ 15 คนตามความเหมาะสม แต่จะไม่ตั้งผู้แทนบริษัทยามาเป็นบอร์ดด้วย ขณะเดียวกันจะรับหน้าที่หารือนายไชยา สะสมทรัพย์ในเชิงนโยบายด้วย คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหา
สำหรับเรื่องที่ 2 ได้แก่การแก้ไขร่างพระราชกฤษฏีกาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2550 ออกโดยกรมบัญชีกลาง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมว่ากฤษฎีกาฉบับนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญของระบบยา ใช้เกณฑ์การจัดซื้อเหมือนกับการก่อสร้างหรือสินค้าอุปโภคทั่วไปหรือเปิดแข่งขันเสรีทางการค้า โดยไม่ได้ขอความคิดเห็นจากองค์การเภสัชกรรมก่อน หากนำมาใช้กับระบบยา จะทำให้ยาจากต่างประเทศทะลักเข้ามา อุตสาหกรรมยาในประเทศจะไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทยาข้ามชาติได้ โดยเฉพาะประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำเช่นจีน อินเดีย ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ศึกษารายละเอียดและมาตรการแก้ไขก่อนที่จะมีผลบังคับใช้
ร.ต.อ.ดร.เฉลิมกล่าวต่ออีกว่าสำหรับเรื่องการทำซีแอล ยืนยันว่าจะทำต่อ แต่ในรายละเอียดจะขอให้รัฐบาลแถลงนโยบายเรียบร้อยไปก่อน โดยจะประชุมหารือกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศในวันที่ 16 ตุลาคม 2551 โดยยาที่ทำซีแอลในปี 2550 จำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ยาต้านไวรัสเอดส์ เอฟฟาวิแรนซ์ (Efavirenz)ชนิดเม็ดและแคปซูล ยาโลพินาเวียร์(Lopinavir)/ลิโทนาเวียร์(Ritonavir) 2.ยาโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) รักษาโรคหัวใจ และ3.ยาโดซี่แทกเซล ( Docetaxel) ฉีดรักษาโรคมะเร็ง ขณะนี้ได้นำเข้ามาทั้งหมดแล้ว และผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบได้มาตรฐานทั้งหมด โดยยาโดซี่แทกเซล (Docetaxel) ซึ่งมีความเป็นพิษสูง ได้ส่งตรวจที่ประเทศเบลเยียม ผลการตรวจพบว่าได้มาตรฐาน หลังจากนั้นก็จะเริ่มส่งให้โรงพยาบาลทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
****************************************** 6 ตุลาคม 2551
View 24
06/10/2551
ข่าวเพื่อมวลชน
สำนักสารนิเทศ