รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแนวทางจัดหาวัคซีนโควิด 19 ปี 2566 พร้อมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการวัคซีนโควิดหลังปรับเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเร่งรัดกำจัดมาลาเรีย รับทราบการปรับการให้วัคซีนป้องกันปอดอักเสบนิวโมค็อกคัสในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และแนวทางการให้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

          วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 9/2565 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม

          นายอนุทินกล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยช่วงนี้ มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยนอนรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นบางพื้นที่ ส่วนผู้ป่วยอาการหนักและผู้เสียชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่รับวัคซีนโควิด 19 หรือไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดเตรียมยา เวชภัณฑ์ วัคซีน รวมทั้ง LAAB ไว้อย่างเพียงพอเพื่อรองรับการระบาดที่กำลังเพิ่มขึ้น สถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศมีความพร้อมให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 รวมถึงคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ได้เตรียมแผนปฏิบัติการควบคุมโรคโควิด 19 รองรับการเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังให้มีความพร้อมทุกจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ส่งหนังสือชื่นชมประเทศไทยต่อการดำเนินงานในช่วงสถานการณ์โควิด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม

          นายอนุทินกล่าวต่อว่า ที่ประชุมในวันนี้ได้พิจารณาและเห็นชอบแนวทางการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ปี 2566 โดยมีกรอบในการจัดหาและบริหารจัดการให้มีวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับกลุ่ม 608 บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้าและ อสม. รวมถึงประชาชนทั่วไปตามความสมัครใจ จำนวน 1-2 โดสต่อคน โดยให้พิจารณาสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ไวรัส และแนวโน้มประสิทธิผลของวัคซีนต่อสายพันธุ์ที่ระบาด และนำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคเพื่อให้คำแนะนำสำหรับการให้วัคซีนโควิด 19 ในปี 2566 อย่างเหมาะสม รวมถึงยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโควิด 19 และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ภายหลังการประกาศเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อสนับสนุนภารกิจวัคซีนโควิด 19 ให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมี นพ.โสภณ เมฆธน เป็นที่ปรึกษา และอธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นประธาน

          นอกจากนี้ ยังแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเร่งรัดกำจัดมาลาเรีย เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรียเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด แต่งตั้งคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 14 (7) กับมาตรา 16 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.บ.โรคติดต่อฯ รวมถึงรับทราบมติคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค คือ การให้วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบนิวโมค็อกคัส (2p+1) ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเสนอชุดบริการวัคซีนเพื่อประกอบการพิจารณาเข้าเป็นสิทธิประโยชน์ในปี 2567 โดยปรับเป็นวัคซีน IPV และ PVC เมื่ออายุ 2 เดือนและ 4 เดือน และการให้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) กรณีคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยให้วัคซีน 1 เข็มไปก่อนในกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2562-2564 ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เนื่องจากกรณีวัคซีนขาดชั่วคราว และเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2565-2566 โดยให้ในเด็กหญิงที่มีอายุสูงสุดก่อนเป็นลำดับแรกตามจำนวนวัคซีนที่จัดหาได้

          นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าการจัดทำแผนปฏิบัติการควบคุมโรคโควิด 19 รองรับการเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง (ตุลาคม 2565 - กันยายน 2566) ระดับจังหวัด/กรุงเทพมหานคร โดยขณะนี้ทุกจังหวัดมีแผนปฏิบัติการรองรับแล้ว ส่วนผลการดำเนินงานด้านวัคซีนโควิด 19 ประเทศไทยฉีดไปแล้ว 143.7 ล้านโดสรับอย่างน้อย 1 เข็ม 57.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 82.4 รับครบตามเกณฑ์ 53.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 77.5 และรับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้วกว่า 32.4 ล้านโดส ส่วนเด็กอายุ 6 เดือน – 4 ปี ข้อมูลถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 รวม 17,745 คน

 ********************************* 21 พฤศจิกายน 2565

*******************************************

 



   
   


View 1568    21/11/2565   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ