สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานเครื่องฉายรังสีแบบเครื่องเร่งอนุภาค (LINAC) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทันสมัย มูลค่ากว่า 48 ล้านบาท ประจำที่ศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี ใช้รักษาโรคมะเร็ง ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ความแม่นยำสูงและลดผลข้างเคียงกับเนื้อเยื่อปกติ วันนี้ (13 สิงหาคม 2551) เวลา 14.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเปิดแพรคลุมป้ายห้องเครื่องเร่งอนุภาค (LINAC : Linear accelerator) ในการรักษาโรคมะเร็ง ณ อาคารกาญจนบารมี ศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โดยมีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้ารับเสด็จฯ นายชวรัตน์ ได้กราบบังคมทูลรายงานว่า ศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง ขนาด 400 เตียง ปัจจุบันเปิดให้บริการ 116 เตียง เดิมเป็นสถานรับผู้ป่วยโรคมะเร็งชื่อว่า บ้านพักฟื้นผู้ป่วยโรคมะเร็งธัญบุรี ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินก่อสร้างอาคารต่างๆ ของบ้านพักฟื้นผู้ป่วยมะเร็งธัญบุรี เป็นเงิน 426 ล้านบาท เพื่อเป็นสถานที่ให้การบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบต่อเนื่อง ด้วยวิธีทางรังสีรักษา เคมีบำบัด และให้การดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคองทั้งร่างกายและจิตใจให้มีความสุข โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า ศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2543 และเสด็จพระราชดำเนินเปิดศูนย์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2544 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่กระทรวงสาธารณสุขและประชาชนไทย โดยเฉพาะผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทานเครื่องฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งชนิดเร่งอนุภาคที่เรียกว่า ไลแน็ค (LINAC) ซึ่งเป็นเครื่องฉายรังสีที่ทันสมัย ราคา 48,150,000 บาท เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2550 ดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จและเปิดให้บริการฉายรังสีผู้ป่วย ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2550 การทำงานของเครื่องฉายรังสีดังกล่าว มีความแม่นยำสูงและลดผลข้างเคียงต่อเนื้อเยื่อปกติรอบๆ ก้อนมะเร็ง เนื่องจากควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถปรับลำรังสีให้มีขนาดและรูปร่างพอดีกับก้อนมะเร็ง จึงทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง ไม่ทำลายอวัยวะปกติที่อยู่โดยรอบ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถกลับบ้านใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อย่างมีความสุข ช่วยให้การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งมีประสิทธิภาพสูงขึ้น อีกทั้งแพทย์สามารถใช้เครื่องดังกล่าวฉายแสงระหว่างการผ่าตัดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมน้ำลายได้อีกด้วย หลังจากเปิดให้การรักษาด้วยเครื่องไลแน็ค ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาเพิ่มขึ้นจาก 50-60 รายต่อวันในปี 2549 เป็น 90 – 110 รายต่อวัน โดยผู้ป่วยที่รักษาด้วยเครื่องชนิดนี้ ร้อยละ 86 เป็นผู้ป่วยมะเร็งในระยะแรกๆ ที่เซลล์ยังไม่ลุกลามมาก ซึ่งมีโอกาสหายขาด ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 14 เป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเซลล์มะเร็งมีการลุกลามกระจายไปอวัยวะอื่นแล้ว ใช้เพื่อประคับประคองอาการ บรรเทาความเจ็บปวด ให้สามารถกลับใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวได้ ทางด้านนายแพทย์ธนเดช สินธุเสก ผู้อำนวยการศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี กล่าวว่า เครื่องเร่งอนุภาค ไลแน็ค มีคุณสมบัติเด่นต่างจากเครื่องฉายรังสีโคบอลท์ 60 คือ เครื่องฉายรังสีไลแน็คสามารถปล่อยรังสีได้ 2 ชนิด คือรังสีโฟตอนและรังสีอิเลคตรอน รังสีโฟตอนจะมีพลังงานสูง เหมาะกับก้อนมะเร็งที่อยู่ในอวัยวะภายใน เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด หรือใช้กับผู้ป่วยที่มีรูปร่างอ้วน ใหญ่ ส่วนรังสีอิเลคตรอน เหมาะกับมะเร็งที่อยู่ตื้นๆ เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งต่อมน้ำลาย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่คอ หรืออาจใช้รังสีทั้ง 2 ชนิดร่วมกัน เพื่อให้ก้อนมะเร็งได้รับรังสีสม่ำเสมอและทั่วถึงตามแผนการรักษาของแพทย์ ในการนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ได้ทอดพระเนตรนิทรรศการ “โครงการพาแม่และพ่อกลับบ้าน สานใยรัก” เริ่มเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นกิจกรรมเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยและบุตรหรือครอบครัวที่ได้รับการรักษาด้วยเครื่องเร่งอนุภาค ตั้งแต่ระหว่างที่รับการรักษา โดยจัดกิจกรรมกลุ่มให้ผู้ป่วยได้พูดคุยกับเพื่อนผู้ป่วย และติดตามผลโดยการเยี่ยมบ้าน พบว่าผู้ป่วยกลุ่มนำร่องซึ่งมีประมาณ 30 ราย มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีบุตรและครอบครัวคอยดูแลและให้กำลังใจ สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมผู้ป่วยและพระราชทานถุงพระราชทานแก่ตัวแทนผู้ป่วยชายและหญิง จำนวน 24 ราย สำหรับสถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทย พบว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 1 ของคนไทย แนวโน้มสูงขึ้นจาก 49,682 รายในปี 2546 เป็น 53,434 รายในปี 2550 ในจำนวนนี้เป็นชาย 31,099 ราย หญิง 22,335 ราย เฉลี่ยเสียชีวิตนาทีละ 2 ราย ในผู้ชายพบมะเร็งตับมากอันดับ 1 รองลงมาคือมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ส่วนผู้หญิงพบมะเร็งปากมดลูกมากอันดับ 1 รองลงมาได้แก่มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปอด คาดว่าในปี 2551 จะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่เข้ารักษาตัวประมาณ 120,000 รายทั่วประเทศ ********************************** 13 สิงหาคม 2551


   
   


View 26    13/08/2551   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ