รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แจงการจัดประชุมและชื่นชมยินดีแก่บุคลากรสาธารณสุขที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ถึงเป้าหมาย 100 ล้านโดส เป็นการแสดงความขอบคุณและสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานที่ทุ่มเทระดมสรรพกำลังฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วประเทศกว่า 50 ล้านคน ในขณะที่ต้องปฏิบัติภารกิจปกติในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย ส่วนการรับมือ “โอมิครอน” เตรียมพร้อมทั้งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นและการรักษาพยาบาล รวมถึงการสำรองยา เวชภัณฑ์ต่าง ๆ ให้พร้อม

          นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบ 100 ล้านโดส โดยไม่คำนึงถึงผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 และควรเตรียมรับมือเชื้อโอมิครอน ว่า การฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ถึงเป้าหมาย 100 ล้านโดส หรือประมาณ 50 ล้านคน เป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการแข่งกับเวลา เนื่องจากในสถานการณ์การระบาดต้องพยายามฉีดวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติที่ทำได้ทั่วไป แต่ต้องอาศัยกำลังกาย กำลังใจและความทุ่มเทของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ต้องทำไปพร้อมกับการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 และโรคอื่น ๆ ด้วย การชื่นชมยินดีที่บุคลากรสาธารณสุขสามารถฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย ถือเป็นสิ่งดี ๆ ที่ผู้บริหารสามารถทำให้แก่บุคลากรผู้ปฏิบัติงานได้ และเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ทำงานอย่างทุ่มเทมาต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิค 19 และเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564

           นพ.ธงชัยกล่าวต่อว่า สำหรับการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ “โอมิครอน” ขณะนี้ได้มีการชะลอการเข้าประเทศในระบบ Test & Go เพื่อลดโอกาสเสี่ยงของผู้เดินทางที่อยู่ในระยะฟักตัวของโรค พร้อมกับเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น รวมถึงจัดบริการวัคซีนเชิงรุกให้ประชากรทุกกลุ่มทั้งคนไทยและคนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายพื้นที่เข้าถึงยาก ทั้งผู้ป่วยติดเตียง ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร แรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน เป็นต้น ส่วนด้านการรักษาพยาบาล มีการเตรียมความพร้อม โดยทั้งประเทศมีเตียงรองรับผู้ป่วยโควิคมากกว่า 2 แสนเตียง ปัจจุบันใช้อยู่ประมาณ 3 หมื่นเตียง ยังมีเตียงเพียงพอรองรับหากเกิดการระบาด และมีการหารือกับภาคีเครือข่ายทุกสัปดาห์ให้เตรียมความพร้อมตลอดเวลา รวมถึงจัดระบบการดูแลรักษาที่บ้านและชุมชน เนื่องจากคนไข้ส่วนใหญ่มีอาการไม่มาก สำหรับยารักษา ขณะนี้ยังมียาฟาวิพิราเวียร์คงเหลือมากกว่า 16.2 ล้านเม็ด และสามารถผลิตภายในประเทศได้แล้วโดยองค์การเภสัชกรรม และมียาเรมเดซิเวียร์ 4.5 หมื่นขวด รวมถึงได้สั่งซื้อและจองทั้งยาโมลนูพิราเวียร์ ยาแพกซ์โลวิดแล้ว พร้อมทั้งกำลังปรับปรุงแนวทางรักษาโรคให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงยาและอุปกรณ์อื่น มีสำรองไม่น้อยกว่า 3 เดือน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ ยังเป็นมาตรการส่วนบุคคล ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ซึ่งจะช่วยป้องกันโควิด 19 ได้ทุกสายพันธุ์

*********************************** 25 ธันวาคม 2564



   
   


View 340    25/12/2564   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ