รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรม ลงนามความร่วมมือกับ บจก.ใบยา ไฟโตฟาร์ม สตาร์ทอัพโดยนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บจก. คินเจน ไบโอเทค  ผนึกกำลังเป็นทีมไทยแลนด์ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากใบพืช ในประเทศโดยคนไทยเพื่อคนไทย

          วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงนามความร่วมมือ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องโรคจากเชื้อโควิด 19 (Covid-19) พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม โดยนายอนุทินกล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ถือเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคงและความปลอดภัยด้านสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้มีมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่รัดกุมในระดับสูงสุด ทำให้ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สิ่งที่ดำเนินการควบคู่กันคือการเร่งจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาตรฐานมาฉีดให้กับคนไทย ขณะนี้ได้จองซื้อวัคซีนจาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด ไว้แล้วจำนวน 26 ล้านโดส สำหรับคนไทยกลุ่มแรก
13 ล้านคน และยังได้วางแผนจัดหาวัคซีนจากแหล่งอื่น และให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในประเทศ โดยได้ผนึกกำลังเป็น “ทีมไทยแลนด์” ถือเป็นความหวัง ความภูมิใจ และเป็นขีดความสามารถใหม่ของประเทศไทยที่จะผลิตวัคซีนได้เองตั้งแต่ต้นน้ำ ลดการพึ่งพาต่างชาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัชกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โครงการวัคซีนเพื่อคนไทยสำเร็จลุล่วง

          นายอนุทินกล่าวต่อว่า “ทีมไทยแลนด์” ประกอบด้วย องค์การเภสัชกรรม บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด และ บริษัท คินเจน ไบโอเทค จำกัด ที่ได้ร่วมมือกัน ค้นคว้า วิจัย พัฒนา วัคซีนป้องกันโควิด 19 จากใบพืชได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้คนไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียม

          ด้านนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือดังกล่าว องค์การเภสัชกรรมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (Covid-19 vaccine) เพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอย่างเร็วที่สุด ครั้งนี้เป็นการผลิตวัคซีนโดยคนไทยเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง โดยใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงาน โดยได้ร่วมมือจากบริษัทวิจัยในประเทศไทย คือ บริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม เป็นผู้ค้นคว้า วิจัยและพัฒนา ผลิตวัคซีนตั้งต้น บริษัท คินเจน ไบโอเทค เป็นผู้ทำวัคซีนให้บริสุทธิ์ และองค์การเภสัชกรรมจะทำหน้าที่ตั้งตำรับและบรรจุวัคซีนสำเร็จรูป สำหรับการทดสอบทางคลินิกเฟส 1-2 ในมนุษย์

         ทั้งนี้ องค์การเภสัชกรรมได้มีบทบาทในการพัฒนาและจัดหาวัคซีน 4 แนวทาง ได้แก่ 1) การวิจัยและพัฒนาจากต้นน้ำ ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากไข่ไก่ฟัก ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง และจะศึกษาประสิทธิภาพในมนุษย์ต่อไป 2) โครงการนำเข้าวัคซีนมาแบ่งบรรจุ โดยได้ร่วมมือกับบริษัท Sinopharm ขณะนี้อยู่ระหว่างการลงนามความร่วมมือ และเตรียมความพร้อมการผลิตในระดับอุตสาหกรรม 3)ให้ทุนกับมหาวิทยาลัยในการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรคโควิด 19 อาทิ วัคซีน Subunit จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  วัคซีน Virus-like particle จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 4)ร่วมมือกับบริษัทวิจัยในประเทศไทย ในการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช ซึ่งได้ทำการลงนามความร่วมมือในวันนี้ 
 

********************* 14 ธันวาคม 2563

*******************************



   
   


View 2203    14/12/2563   ข่าวเพื่อมวลชน    สำนักสารนิเทศ