อาหารแช่แช็งเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนที่เร่งรีบ ต้องรีบออกไปทำงาน คนที่กินอยู่เป็นประจำจึงมีความรู้สึกกังวลว่าหากกินอาหารแช่แข็งเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และอาจทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอได้ จะจริงหรือไม่มาติดตามกันเถอะ

          อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานในรูปแบบแช่แข็ง จะผ่านกระบวนการปรุงอาหารก่อนที่จะนำมา
แช่เแข็ง โดยกระบวนการแช่แข็งจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ยับยั้งการทำงานของจุลินทรีย์
ในอาหารที่เป็นสาเหตุของการเสียของอาหาร สามารถยืดอายุการเก็บรักษาอาหารให้นานขึ้นได้

          หลายคนกังวลว่าการกินอาหารแช่แข็ง จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งไม่จริง เพราะการแช่แข็งไม่ส่งผลต่อสารอาหาร โดยสารอาหารในอาหารต่าง ๆ จะยังคงอยู่แม้ผ่านกระบวนการแช่แข็ง แต่การแช่แข็งอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคุณค่าสารอาหารที่มีอยู่เดิมเล็กน้อย

          จะเห็นได้ว่าอาหารแช่แข็งก็ยังคงให้คุณค่าทางโภชนาการที่ใกล้เคียงเดิม แต่สิ่งที่สำคัญคือการเลือกอาหารแช่แข็งที่เป็นมิตรกับสุขภาพ โดยควรมีผัก ข้าวกล้อง หรือธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีเป็นส่วนประกอบ ให้พลังงานไม่เกิน 500 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใยอาหารอย่างน้อย 3-5 กรัม มีไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 4 กรัม และมีโซเดียมไม่เกิน 600-700 มิลลิกรัม

          โดยทั่วไปใน 1 วัน เราไม่ควรได้รับปริมาณโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัม ดังนั้นอาหารแช่แข็งที่
เราเลือกกินใน 1 มื้อ ควรมีปริมาณโซเดียมประมาณ 600 มิลลิกรัม นอกจากนี้ควรดูคุณค่าสารอาหารประเภท
อื่น ๆ ด้วย เช่น ปริมาณไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุ โดยแต่ละช่วงวัยจะต้องการพลังงานที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกกินอาหารแช่แข็งก็คือ การอ่านฉลากโภชนาการ

ข้อควรปฏิบัติอื่น ๆ ในการเลือกซื้อ และบริโภคอาหารแช่แข็ง คือ

1. อ่านฉลากก่อนซื้อเพื่อดูส่วนประกอบ เลขสารบบอาหาร ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร และวัน เดือน ปีที่ผลิต และหมดอายุ
2. อ่านฉลากโภชนาการ โดยใน 1 มื้อ ควรมีปริมาณโซเดียมประมาณ 600 มิลลิกรัม นอกจากนี้ควรดูปริมาณ ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุ
3. ควรเลือกซื้ออาหารแช่แข็งที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์สภาพดี ไม่มีรอยรั่วหรือฉีกขาด
4. เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อจุลินทรีย์เติบโต เมื่อกลับถึงบ้านควรรีบนำอาหารแช่แข็งเข้าช่องแช่แข็งของตู้เย็นทันที และเมื่อทำการละลายแล้วควรกินให้หมดทันที

      5. กินให้หลากหลาย โดยอาจเพิ่มอาหารสด เช่น สลัดผัก และผลไม้สดเพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา