สธ. ให้ทุกหน่วยงานทำงานเชิงรุก เน้นการสื่อสาร ป้องกันตื่นตระหนก


          กระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยงานในสังกัดทุกระดับทำงานเชิงรุก บูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่เร่งสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ลดความตื่นตระหนก มีความพร้อมทั้งการป้องกันควบคุมโรคและการรักษาที่รวดเร็ว ระบบการแพทย์และการสาธารณสุขไทยได้รับการยอมรับระดับต้นของโลก การตรวจเชิงรุกในจ.ระยองและกทม.ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ

          วันนี้ (16 กรกฎาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีทุกกรม แถลงให้ทุกหน่วยงานทำงานเชิงรุกเน้นการสื่อสาร ลดความตระหนก ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยกรณีที่เกิดเหตุในจ.ระยองและกทม. ได้ให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเร่งสื่อสารทำความเข้าใจเพื่อลดความตื่นตระหนก สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ซึ่งผลการตรวจเชิงรุกประชาชนทั้ง 2 แห่ง กว่า 1,600 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนให้รถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานให้บริการต่อเนื่องจนครบ 14 วัน และมีความพร้อม โดยได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลทุกสังกัด โรงเรียนแพทย์ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่สำคัญคือประชาชนได้ร่วมกันปรับพฤติกรรม ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ หลีกเลี่ยงการเข้าที่ชุมชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นานาประเทศยอมรับว่า จะลดโอกาสการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น แม้ในขณะนี้ ไม่พบการติดเชื้อในประเทศ ต้องยอมรับว่ามีโอกาสพบการติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตาม เรามีระบบการเฝ้าระวังคัดกรอง ระบบการรักษา ห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อที่มีความรวดเร็ว มีการบริหารจัดการอุปกรณ์ ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ทำให้ระบบการแพทย์และการสาธารณสุขไทยได้รับการยอมรับระดับต้นของโลก ส่วนการพัฒนาวัคซีนของไทยมีความก้าวหน้ามากแล้ว

          นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเครื่องมือแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ และรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน 13 คัน เพื่อประจำทุกเขตสุขภาพ จะช่วยเสริมการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในระหว่างปฏิบัติงาน รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากจิตอาสานักเทคนิคการแพทย์มาช่วยตรวจ และประชาชนจิตอาสาช่วยอำนวยความสะดวก

          นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ฟื้นเศรษฐกิจประเทศ อาจจะพบผู้ติดเชื้อ แต่เรามีการตรวจจับได้เร็ว ควบคุมให้อยู่ในวงจำกัด และป้องกันไม่ให้เกิดอีก เช่นที่จ.ระยอง เราพบผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเนื่องจากมีระบบที่ดี และใช้รถตรวจโรคชีวนิรภัยพระราชทานลงไปค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก ผลการตรวจวันแรก 1,336 คน เป็นลบทั้งหมด และรอผลผู้ที่มาตรวจในวันที่ 15 กรกฎาคมอีก 1,252 คน หากพบการติดเชื้อจะจัดการเฉพาะจุด ปิดกิจการหรือกิจกรรมในจุดที่เป็นการแพร่ระบาด จะไม่ปิดพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งคนทั้งจ.ระยองไม่ได้มีความเสี่ยงทั้งหมด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่การ์ดต้องสูง ในการตรวจจับโรคมีทีมสอบสวนโรคทั่วประเทศมากกว่า 2,000 ทีม ครอบคลุมทุกจุดของประเทศ บุคลากรมีความเชี่ยวชาญ นักระบาดวิทยาที่ได้รับการยอมรับ พร้อมรับมือหากพบการระบาดขึ้น

          นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ จ.ระยองทำให้เกิดภาวะตระหนก เรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นอาจเกิดความเครียดขึ้นมา เบื่อหน่าย ท้อแท้ หรือโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้ต่อสู้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง ต้องตระหนักแต่ไม่ตระหนก หากมีสติจะสามารถดูแลตนเองและป้องกันได้ โดยสำรวจตัวเองว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นปกติ ใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง และล้างมือบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดจะสามารถป้องกันโรคได้ และอยากให้ทบทวนว่าประเทศไทยมีทีมป้องกันควบคุมโรคเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีความพร้อมในการป้องกัน ควบคุมโรค หากป่วยก็มีระบบการรักษาที่ดีมาก มีอัตราการตายที่ต่ำมาก กรมสุขภาพจิต ได้ส่งทีมดูแลสภาพจิตใจไปอยู่ในพื้นที่พร้อมกับทีมตรวจหาเชื้อ หากมีความเครียดจะได้รับการดูแลรักษา หรือรู้สึกไม่สบายใจสามารถโทรสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชม.

          นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า บทบาทของอสม. ทุกวันนี้ยังทำงานอย่างเข้มแข็ง ดูแลสุขภาพประชาชนร้อยละ 80-90 ทั้งการใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง ประธานชมรม อสม.จ.ระยอง ยืนยันว่า อสม.ยังคงเฝ้าระวังคัดกรอง และลงเยี่ยมบ้านให้กำลังใจ รวมทั้งเรื่องโครงการกำลังใจเที่ยวปันสุขจะประชุมทางไกลกับประธาน อสม.ทั่วประเทศในวันที่ 22 กรกฎาคม ช่วยส่งกำลังใจและเชิญชวนไปเที่ยวระยอง เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย รวมทั้งได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์เจล เพื่อให้ อสม.พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่

          นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ มีความพร้อมด้านการรักษามีเตียง 20,000 เตียงทั่วประเทศ สามารถรองรับได้ 1,000 คนต่อวัน ไม่รวม hospitel ซึ่งได้ปิดแล้วทั่วประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ดีขึ้น ผู้ป่วยจาก State Quarantine เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในส่วนของ กทม. มีห้องแยก ห้องความดันลบ ไอซียู ประมาณ 2,400 เตียง เราพร้อมแต่ไม่อยากให้เกิดการระบาด ความร่วมมือยังเป็นสิ่งที่สำคัญ การทำงานได้มีการประชุมร่วมกับคณะแพทย์ทุกมหาวิทยาลัย และบูรณาการบริหารจัดการในภาพรวมประเทศ การระบาดในช่วงแรกได้รับความร่วมมือจาก รร.แพทย์ / รพ. กทม. / รพ. กรมการแพทย์ /รพ.ทหาร ตำรวจ และรพ.เอกชน ได้ช่วยรองรับคนไข้ร้อยละ 60 นับเป็นการรวมพลังที่ดีของคนไทย โดย รพ.ราชวิถี เป็นศูนย์บริหารเตียงใน กทม. สำหรับที่ จ.ระยอง สำรองไว้ 100 กว่าเตียง และมีความพร้อมด้านการรักษา

          นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ขณะนี้ เรามีความมั่นคงทั้งด้านยา อุปกรณ์ป้องกัน โดยมียา “ฟาวิพิราเวีย” 6 แสนกว่าเม็ด ใช้กับคนไข้ได้ 10,000 คน และยา “เรมเดซิเวียร์” ใช้ในรายที่มีความรุนแรงของโรค จะมีการผลิตที่อินเดียมาขึ้นทะเบียนกับ อย. แล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนการจัดสรรหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ให้หน่วยบริการและโรงพยาบาลสังกัด กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงเอกชนและมหาวิทยาลัย 1.7 ล้านชิ้นต่อวันจากที่ผลิตได้ 3 ล้านกว่าชิ้นต่อวัน หน้ากาก N95 มีประมาณ 1.7 ล้านชิ้น นำไปใช้กับผู้ป่วยได้เกือบหมื่นราย มีชุด PPE ประมาณ 1 ล้านชุด ซึ่งผลิตได้เองในประเทศ และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ประมาณ 20 ครั้ง สำหรับวัคซีน อย. จะดูทุกขั้นตอน ทั้งตัววัคซีน และโรงงานผลิต เพื่อให้เกิดความปลอดภัย มีประสิทธิผลและมีคุณภาพ

         นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า  วันนี้ ไทยมีความพร้อมทางห้องปฏิบัติการ การแพทย์สาธารณสุข และนักวิจัยวิทยาศาสตร์ ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกในโลกนอกเหนือจากจีนที่สามารถถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อทั้งตัว และรายงานต่อนานาชาติหลังประเทศจีน 1-2 วัน แสดงถึงศักยภาพ ขณะนี้มีห้องปฏิบัติการทั่วประเทศรองรับบริการ 206 แห่งทั้งภาครัฐและเอกชน ใช้วิธีการตรวจด้วยวิธี RT-PCR ตรวจไปแล้ว 652,089 ตัวอย่าง ซึ่งวิธีการตรวจนี้เป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับและใช้ในปัจจุบัน และประกาศในเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกเป็นประเทศต้นๆ คู่กับอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น

          นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีน้ำยาตรวจสำรองไว้ 601,010 กว่าตัวอย่าง ซึ่งไทยผลิตได้เองไม่ต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ มีระบบการรายงานออนไลน์ รู้ผลไม่เกิน 24 ชั่วโมง รวมทั้งพัฒนาวิธีตรวจด้วยน้ำลาย เช่น การตรวจน้ำลายแบบกลุ่ม ทำให้สามารถตรวจ 100,000 ตัวอย่าง ได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ในเรื่องความคืบหน้าวัคซีน องค์การอนามัยโลกประกาศวัคซีนที่อยู่ในกระบวนการผลิตอยู่ 140 ชนิด มีของประเทศไทย 4 ชนิด ทดสอบในสัตว์ทดลองภูมิคุ้มกันขึ้นอย่างสูงและดีมาก มีแผนที่จะผลิตและวิจัยในคนประมาณเดือนตุลาคมนี้ เป็นต้นไป และมีความร่วมมือกับประเทศที่มีการพัฒนาก่อนหน้า หากสำเร็จจะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาผลิตวัคซีนให้กับคนไทย

          นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงความคืบหน้าการวิจัยฟ้าทะลายโจร ว่า ได้นำผลการวิจัยสารสกัดฟ้าทะลายโจรจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาวิจัยในมนุษย์ ขณะนี้ ผลอย่างไม่เป็นทางการในผู้ป่วย 6 คนแรก โดยใช้สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ปริมาณ 3 เท่าของปกติ พบว่า อาการดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ เพียงพอที่จะหยุดวิจัยโดยใช้สารสกัด 5 เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นชัดเจนใน 3 วันแรก อาการไอ ทั้งความรุนแรง และความถี่ลดลงอย่างชัดเจน อาการเจ็บคอ มีเสมหะ เห็นผลอย่างชัดเจน และเมื่อครบ 5 วัน อาการมีน้ำมูก ปวดศีรษะ ไม่สบายตัว มีผลต่างกันอย่างชัดเจน ส่วนอาการอื่นๆ อยู่ในช่วงตรวจสอบรายละเอียดและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยืนยันว่า ฟ้าทะลายโจร มีสารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ ใช้ได้ผลกับผู้ป่วยโควิด 19

          นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัย ได้ร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน 100 กว่าหน่วยงาน จัดทำคู่มือคำแนะนำ มาตรการเพื่อเปิดบริการได้ด้วยความมั่นใจ  สำหรับโรงเรียนมีทีมผู้พิทักษ์อนามัย ซึ่งเป็นจิตอาสา ลงในพื้นที่ดูแลการจัดระบบในโรงเรียน และมีศูนย์อนามัยทุกเขตสุขภาพทำงานร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สนับสนุนผู้ประกอบการในการจัดระบบความปลอดภัย นอกจากนี้ได้สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน

          นายแพทย์ศุภกิจ  ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุโควิด 19 ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ได้ประเมินในเรื่องความมั่นคงด้านสุขภาพ จัดให้ไทยอยู่อันดับที่ 6 ของโลก หลังจากไทยจัดการสถานการณ์โควิด 19 ส่วนการจัดอันดับดัชนี Global COVID-19 Index (GCI) ได้จัดให้ไทยอยู่ในอันดับ 2 ของโลกด้านการฟื้นตัวจากโควิด 19 และได้รับคำเชิญให้ถ่ายทอดความรู้ในเวทีระดับโลก ได้รับการชื่นชมจากหลายประเทศในเรื่องการจัดการโรคโควิด 19 ในกรณีจ.ระยอง เราไม่ได้รบกับโรคภัยไข้เจ็บ แต่รบกับความตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธของประชาชน สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ประชาชนตระหนักรู้ ไม่ใช่ตื่นตระหนก จึงขอความร่วมมือให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ไปถึงประชาชนผ่านทุกช่องทางอย่างถูกต้อง และเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว ขอเชิญชวนบุคคล/คณะบุคคล หรือหากท่านเป็นผู้ที่รู้จักของคนในสังคม ร่วมเป็นต้นแบบเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความเชื่อมั่นให้จ.ระยอง

 *************************************  16 กรกฎาคม 2563

***************************


จากหน่วยงาน : กลุ่มภารกิจด้านข่าวและสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักสารนิเทศ เปิดดู 566 view
วันที่ประกาศข่าว : 16 กรกฎาคม 2563 เวลา 18:19 น.