โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ชี้กระแสข่าวกินแก้วมังกรแล้วเป็นมะเร็ง เป็นพียงข่าวลือ ยืนยันยังไม่มีงานวิจัยที่ใดในโลกว่ากินผลไม้ชนิดนี้แล้วเป็นมะเร็ง แนะการกินแก้วมังกร ต้องกินพอประมาณวันละไม่เกิน 1 ลูก และไม่ควรกินซ้ำซาก ชี้คุณค่าทางโภชนาการแก้วมังกรไม่แพ้ผลไม้ไทย มีวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และที่สำคัญคือให้พลังงานต่ำ
นายสง่า ดามาพงษ์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเกี่ยวกับที่มีกระแสข่าวเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตว่ากินแก้วมังกรแล้ว ทำให้เป็นมะเร็ง ซึ่งข่าวดังกล่าวเริ่มโหมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสร้างความตระหนก และความสับสนแก่ผู้บริโภคถึงขั้นเลิกกินแก้วมังกร มีผลกระทบไปถึงเกษตรกรผู้ปลูกด้วย บางรายถึงกับตัดทิ้งและเลิกปลูก จึงนับว่ากระแสข่าวลือที่เกิดขึ้นและเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆในปัจจุบัน มีอิทธิพลต่อการกินอาหารของสังคมไทยที่ออกมาเป็นระยะ ๆ มีทั้งแบบเฮโล แห่กินตามกันอย่างไม่ลืมหู ลืมตา และแบบชวนกันเลิกกินกันทั้งเมืองก็ได้
นายสง่ากล่าวว่า แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่นิยมกินกันแถวถิ่นอเมริกากลางมาเป็นระยะเวลายาวนานนับพันปี สำหรับในเอเชียนั้น เวียดนามนับเป็นประเทศแรกที่มีการปลูกแก้วมังกร และมีการบริโภคต่อหัวต่อปีมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากการติดตามงานวิจัยทั่วโลก ยังไม่มีงานวิจัยหรือรายงานใด ๆที่ออกมาระบุว่าคนเหล่านั้นเป็นมะเร็ง จากการกินแก้วมังกร มีเพียงข่าวที่ไม่มีแหล่งที่มา ระบุว่า การกินแก้วมังกร วันละ 7 ลูก จะทำให้เป็นมะเร็ง ข้อมูลดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริง จึงขอให้ประชาชนไทยอย่าหลงเชื่อ และขอให้บริโภคแก้วมังกรได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามแม้จะไม่มีงานวิจัยยืนยัน แต่การกินผลไม้หรืออาหารใดๆก็แล้วแต่ ในปริมาณมาก ๆ และกินซ้ำซาก ย่อมไม่เกิดผลดีต่อสุขภาพแน่นอน
ทั้งนี้แก้วมังกรเป็นผลไม้มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนกับผลไม้อื่น ๆ มีสารอาหารวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และที่สำคัญคือให้พลังงานต่ำ จากข้อมูลของกองโภชนาการ กรมอนามัย ระบุว่า ถ้ากินแก้วมังกร 1 ลูก น้ำหนักประมาณ 100 กรัม ร่างกายจะได้แคลเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม วิตามินซี 7 มิลลิกรัม โปรตีน 1.4 กรัม คาร์โบไฮเดรท 12.4 กรัม พลังงาน 66 กิโลแคลอรี่ และใยอาหาร 2.6 กรัม กรมอนามัยได้แนะนำให้คนไทยกินผลไม้ไทยตามฤดูกาล และกินให้หลากหลายชนิด ไม่ควรกินผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งติดต่อกันหลายวัน เพื่อให้ได้สารอาหารหลากหลายชนิด และที่สำคัญคือ กินในปริมาณที่เหมาะสมตามธงโภชนาการ คือกินผลไม้ให้ได้วันละ 3-5 ส่วน
นายสง่ากล่าวต่อไปว่า ในการกินผลไม้ให้ได้ 1 ส่วน หมายถึงกินผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่งในแต่ละมื้อตามปริมาณดังนี้ เช่นกล้วยน้ำว้า 1 ผล หรือกล้วยหอมครึ่งผล หรือส้มเขียวหวาน 1 ผล เงาะ 4 ผล ฝรั่งครึ่งผล มะละกอหรือสัปปะรดหรือแก้วมังกร 6-8 ชิ้นพอคำ เป็นต้น และการกินแต่ละมื้อไม่ควรเป็นผลไม้ชนิดเดียวกัน เช่นมือเช้ากินกล้วยน้ำว้าแล้ว 1 ผลแล้ว มื้อเที่ยงควรเปลี่ยนเป็นส้ม 1 ผล และมื้อเย็นควรเป็นมะละกอ สัปปะรดหรือแก้วมังกรหั่นพอคำ 6-8 ชิ้น ร่างกายก็จะได้ผลไม้ตามเกณฑ์ที่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม กระแสการกินอาหารที่มาเป็นระยะ ๆ สร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค ทางออกที่ดีที่สุดคือ ยึดทางสายกลางแห่งการกิน กินอาหารไทยตามธรรมชาติและกินให้พอเหมาะพอดีมีอารมณ์แจ่มใส ใส่ใจออกกำลังกาย สุขภาพก็จะดีเอง นายสง่า กล่าวในที่สุด
*************************************** 11 มีนาคม 2550
View 16
11/03/2550
ข่าวเพื่อมวลชน
สำนักสารนิเทศ