ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ แถลงข่าว "บุหรี่ตัวร้าย ทำลายหัวใจ"เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พ.ค.ของทุกปีว่า ข้อมูลสำรวจล่าสุดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ.2560 พบว่า มีคนไทย 17.3 ล้านคนที่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน รับควันบุหรี่มือสองเพียง 30 นาที เกิดอันตรายต่อเยื่อบุหลอดเลือด และทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจ ลดลงได้ ยิ่งสูบนานจะทำให้เส้นเลือดค่อยๆหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ
โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่า แต่ละปีมีคนไทย เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ และสมอง ปีละ 2,615 คน จากจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองทั้งหมดปีละ 6,500 คน ในสหรัฐอเมริกามี ผู้ที่เสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบจากการได้รับควันบุหรี่มือสองปีละ 33,950 คน และมีชาวอเมริกา 2,194,000 คน ที่เสียชีวิตระหว่าง พ.ศ.2507 - 2557 จากโรคเส้นเลือดหัวใจที่เกิดจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้านหรือที่ทำงาน
"พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 มีการกำหนดพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้นและกำหนดให้เจ้าของร้านหรือเจ้าของพื้นที่ห้ามสูบต้องดูแลควบคุมการห้ามสูบด้วย เมื่อมีกฎหมายแล้วจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการบังคับใช้อย่างเข้มข้น ส่วนในบ้านที่เป็นแหล่งรับควันบุหรี่มือสองมากที่สุด แม้กฎหมายไม่ห้าม แต่คนสูบควรตระหนักในการไม่ทำให้คนในครอบครัวมีอันตราย ควรเลิกบุหรี่หรือหากเลิกไม่ได้ต้องไม่สูบในบ้าน"ศ.นพ.ประกิตกล่าว
ผศ.นพ.ครรชิต ลิขิตธนสมบัติ นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน โรคหัวใจและโรคเส้นเลือดสมอง คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดแดงตีบตันซึ่งหมายถึงหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองปีละ 100,000 คน ซึ่ง 20 % หรือ 20,000 คน มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ ในขณะที่คนไทยที่มีอายุระหว่าง 30 ถึง 45 ปี ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนที่ไม่สูบถึง4เท่า หรือ เกือบครึ่งหนึ่งของคนวัยหนุ่มสาว ถึงวัยกลางคนที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่
"ผู้ที่เป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง หรือ passive or second hand smoker มีโอกาสเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดพอ ๆ กับผู้ที่สูบบุหรี่ โดยเพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบถึง 30% ทั้งนี้การสูบบุหรี่เพียง1-2มวนต่อวันก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ แม้แต่การสูบบุหรี่ไร้ควันหรือ E cigarette ก็มีสารนิโคตินซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่เคยสูบบุหรี่และสามารถเลิกบุหรี่ได้สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ถึง 30 %"ผศ.นพ.ครรชิตกล่าว
นพ.ประดิษฐ์ชัย ชัยเสรี คณะกรรมการบริหารมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ทั้งเพศชายและหญิง การสูบบุหรี่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 2 เท่า ซึ่งผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็น 1.25 -1.27 เท่า และเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเป็น 1.25-1.35 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับ
ผศ.ดร.ดวงกมล วัตราดุลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการวิชาการพยาบาล สถาบันการพยาบาล ศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอายุน้อยลงมากส่วนสำคัญมีสาเหตุจากการสูบบุหรี่เป็นหลัก โดยจากการดูแลผู้ป่วยมีคนอายุ 21 ปีเป็นพนักงานออฟฟิตป่วยโรคหัวใจตีบ อายุ 25-30 ปี ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และอายุ 18 ปีป่วยหลอดเลือดสมองรายนี้แม้ตัวเองไม่ได้สูบบุหรี่แต่คุณพ่อสูบ จึงอยากให้คนที่สูบบุหรี่ในพื้นที่ห้ามสูบตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้สูบต้องเสี่ยงอันตรายจากการรับควันบุหรี่มือสอง
รศ.นพ.สมบัติ มุ่งทวีพงษา รองเลขาธิการและงานฝ่ายกฎหมาย สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คนที่ สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอุดกั้นเพิ่มขึ้น 2 เท่า การสูบบุหรี่ทวีความรุนแรงของอัตราเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองเมื่อพบร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ใน ผู้หญิงที่สูบบุหรี่และใช้ยาคุมกำเนิดอัตราเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองจะสูงถึง 7.2 เท่าเป็นต้น
นพ.แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2561 องค์การอนามัยโลกหรือฮูได้ให้ความสำคัญกับพิษภัยของยาสูบต่อสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากไปทำลายผนังหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือด หลอดเลือดตีบตัน และขัดขวางการลำเลียงออกซิเจนไปสู่หัวใจ กล้ามเนื้อ และอวัยวะต่าง ๆ ผู้ใหญ่ในวัยทำงานที่สูบบุหรี่นั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต จากโรคหัวใจและหลอดเลือด สมองอุดตัน มากกว่าผู้ที่ไม่ สูบบุหรี่ถึงสี่เท่า
ทั้งนี้ ไทยมี ความสูญเสียทางเศรษฐกิจของไทยจากการสูบบุหรี่ในปี 2552 มีมูลค่าถึง 7.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเลิกบุหรี่ยังสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่เลิกบุหรี่ได้ 1 ปีจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจวายลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับผู้ที่สูบบุหรี่