ข่าวเพื่อมวลชน

พิมพ์

สธ.แจงโรคฝีดาษวานรระบาดไม่เร็ว ความรุนแรงน้อย ยังเฝ้าระวังเข้ม เน้นตรวจจับวินิจฉัยได้เร็ว


          กระทรวงสาธารณสุขเผยทั่วโลกพบผู้ป่วย “ฝีดาษวานร” 900 กว่ารายใน 43 ประเทศ ยันการระบาดไม่เร็วเมื่อเทียบกับโควิด โรคมีความรุนแรงน้อย และไม่พบผู้เสียชีวิต องค์การอนามัยโลกจัดว่าความเสี่ยงปานกลาง ไม่ประกาศภาวะฉุกเฉินและโรคติดต่ออันตราย ประเทศไทยเฝ้าระวังเข้ม วัคซีนยังไม่จำเป็นต้องจัดหา แต่มีการเตรียมการไว้

          วันนี้ (6 มิถุนายน 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) ว่า สถานการณ์ทั่วโลกเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2565 เจอผู้ป่วยยืนยันฝีดาษวานร 900 กว่าคน ใน 43 ประเทศ หลังมีการรายงานมาเป็นเดือนและมีการกระจายในหลายประเทศแต่ลักษณะการระบาดไม่เร็วเมื่อเทียบโควิด ซึ่งหากเป็นโรคโควิด 19 อาจขึ้นหลัก 10 ล้านคนแล้ว นอกจากนี้ อาการยังไม่รุนแรง และยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ซึ่งสายพันธุ์ที่ระบาดในขณะนี้เป็นสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตกที่มีอัตราการป่วยเสียชีวิต 1% ไม่ใช่สายพันธุ์แอฟริกากลางที่มีความรุนแรงกว่า อัตราป่วยเสียชีวิตอยู่ที่ 10% ขณะนี้ที่มีรายงานจะเป็นทางยุโรป เช่น สเปน อังกฤษ โปรตุเกส เยอรมนี รวมถึงแคนาดา

          “องค์การอนามัยโลกประเมินโรคฝีดาษวานรว่าเป็นความเสี่ยงปานกลาง ยังไม่เป็นภาวะฉุกเฉิน ยังไม่ต้องจำกัดการเดินทาง และไม่ได้ประกาศเป็นโรคติดต่ออันตราย เพียงแต่เตือนให้ระมัดระวังและจัดระบบเฝ้าระวังซึ่งประเทศไทยดำเนินการแล้ว มีระบบคัดกรองคนเดินทางจากต่างประเทศ และกำหนดนิยามวินิจฉัยผู้ป่วย เตรียมห้องปฏิบัติการในการวินิจฉัยและสอบสวนควบคุมโรค และเตรียมจัดหาวัคซีนหากจำเป็นต้องใช้ ซึ่งจากการเฝ้าระวัง ยังไม่มีรายงานผู้ป่วยในประเทศไทย แต่เคยมีผู้ต้องสงสัย 6 ราย แต่ตรวจแล้วเป็นเชื้อเริมไม่ใช่ฝีดาษวานร ไม่มี
ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง” นพ.โอภาสกล่าว

         นพ.โอภาสกล่าวว่า ความเสี่ยงที่จะพบผู้ป่วยฝีดาษวานรในประเทศไทยเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเราเปิดประเทศทำให้มีผู้เดินทางเยอะขึ้น เข้ามาวันละประมาณหลายหมื่นคน แต่เชื่อว่าระบบเฝ้าระวังและความร่วมมือในการคัดกรองจะตรวจจับผู้ป่วยและควบคุมไม่ให้โรคแพร่ระบาดต่อไปได้ จึงไม่ต้องกังวลจนเกินไป สำหรับข้อมูลทางคลินิกของโรคฝีดาษวานร คือ ระยะฟักตัวยาว 5-21 วัน ต่างจากโควิดสายพันธุ์โอมิครอนค่อนข้างสั้น 2-7 วัน อาการสำคัญคือมีไข้ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัว เหมือนไข้หวัดทั่วไป แต่ไม่ค่อยมีน้ำมูก หลังเป็นไข้ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้น กระจายที่แขนขา ลำตัว และใบหน้า ลักษณะตุ่มมีหลายแบบตามระยะ ตั้งแต่ตุ่มแดง ตุ่มใส ตุ่มหนอง เป็นรอยบุ๋ม แห้งเป็นสะเก็ดและหลุดออก ส่วนใหญ่หายเองได้ การเกิดแผลเป็นเมื่อมีแบคทีเรียแทรกซ้อน

          “การดูตุ่มอย่างเดียวบอกไม่ได้ว่าเป็นฝีดาษวานร เพราะคล้ายกับหลายโรค การวินิจฉัยต้องตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วย RT-PCR ขณะนี้ยังไม่มียาต้านไวรัสที่ทำลายเชื้อโดยตรง ส่วนวัคซีนที่มีคือวัคซีนฝีดาษคนซึ่งวัคซีนฝีดาษที่เก็บในคลังของประเทศ จากการตรวจพบว่าเชื้อยังไม่ตาย แต่ยังต้องใช้เวลาศึกษาประสิทธิภาพ ขณะนี้วัคซีนยังไม่จำเป็นมาก แต่ก็ต้องเตรียมการเผื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มีวัคซีนไว้ใช้ โดยสอบถามองค์การอนามัยโลกที่มีคลังวัคซีนฝีดาษคนสำรองอยู่ ส่วนวัคซีนฝีดาษลิงอยู่ระหว่างพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพ โดยมีการติดต่อไว้หลายแห่ง หากมีข้อมูลที่มีประสิทธิภาพให้แจ้งเราด้วย เพื่อพิจารณาเรื่องจัดหาวัคซีน” นพ.โอภาสกล่าว

         นพ.โอภาสกล่าวว่า การนำวัคซีนมาใช้จะพิจารณา 4 เรื่อง คือ 1.ประสิทธิภาพการป้องกัน 2.ความปลอดภัย 3.สถานการณ์ และ 4.ความจำเป็นในการจัดหา ต้องมีทั้ง 4 เรื่องครบถ้วน เพราะบางครั้งโรคไม่รุนแรงแต่วัคซีนมีผลข้างเคียงก็ต้องพิจารณา มาตรการตอนนี้คือการตรวจจับเฝ้าระวังและควบคุมไม่ให้แพร่กระจายออกไป และแจ้งเตือนประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อแจ้งเตือนไป บางคนมีตุ่มขึ้นมาก็มารายงานเป็นสิ่งที่ดีทำให้สามารถตรวจจับได้เร็ว มาตรการยังเป็นการวินิจฉัย การแยกกักผู้ป่วย และสอบสวนโรคเป็นหลัก คล้ายกับโควิดช่วงแรก ถ้าเจอจริง ๆ ก็แยกกักเพื่อไม่ให้ไปแพร่ระบาดและติดตามผู้สัมผัส โดยต้องดูไทม์ไลน์ให้ละเอียด

************************************** 6 มิถุนายน 2565


จากหน่วยงาน : กลุ่มภารกิจด้านข่าวและสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักสารนิเทศ เปิดดู 3262 view
วันที่ประกาศข่าว : 6 มิถุนายน 2565 เวลา 18:39 น.